9 สิ่งที่มือใหม่ต้องใช้เปรียบเทียบประกันรถยนต์
เคยไหม? ตื่นเช้ามาก็ต้องรีบออกจากบ้าน แต่ดันเจอรถเสียซะงั้น หรือขับรถไปทำงานแล้วโดนชนท้าย โอ้ยยย ปวดหัวแทบแตก! แต่ไม่ต้องกังวลไปหรอก ถ้ามีประกันรถยนต์ดีๆ สักกรมธรรม์ ชีวิตก็จะง่ายขึ้นเยอะเลยล่ะ แต่เดี๋ยวก่อน! การเปรียบเทียบประกันรถยนต์ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นะ โดยเฉพาะสำหรับมือใหม่หัดขับ ที่อาจจะงงๆ กับศัพท์แสงแปลกๆ หรือเงื่อนไขที่ชวนปวดหัว แถมยังมีให้เลือกทั้งประกันชั้น 1 2 3 และอื่น ๆ อีกเพียบ วันนี้เราเลยจะมาแนะนำ 10 สิ่งที่มือใหม่ต้องใช้เปรียบเทียบประกันรถยนต์ก่อนเลือกซื้อประกันรถยนต์กัน รับรองว่าอ่านจบแล้ว คุณจะสามารถเลือกประกันรถยนต์ที่ตรงใจได้มากที่สุดอย่างแน่นอน
1. ประเภทของประกันรถยนต์ – เลือกแบบไหนดี ไม่ให้เสียดายทีหลัง
เริ่มต้นกันที่ประเภทของประกันรถยนต์กันก่อนเลย ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ ประกันภาคบังคับ (พ.ร.บ.) และประกันภาคสมัครใจประกันภาคบังคับ หรือที่เรียกกันติดปากว่า พ.ร.บ. นี่คือประกันที่รถทุกคันต้องมี ไม่งั้นโดนปรับแน่! แต่ พ.ร.บ. นี่คุ้มครองแค่ชีวิตและร่างกายของคู่กรณีเท่านั้นนะ ไม่ได้คุ้มครองความเสียหายของตัวรถเลย
ส่วนประกันภาคสมัครใจ นี่แหละที่จะช่วยคุ้มครองความเสียหายของรถคุณได้ ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ประเภท ตั้งแต่ประเภท 1 ที่คุ้มครองแบบจัดเต็ม ไปจนถึงประเภท 5 ที่คุ้มครองน้อยที่สุดสำหรับมือใหม่ แนะนำให้เลือกประกันชั้น 1 ไว้ก่อน เพราะคุ้มครองแบบครอบคลุม ไม่ว่าจะชนแบบไหน ก็สบายใจได้ แต่ถ้างบน้อยประกันชั้น 2 หรือ 3 ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะคุ้มครองได้ค่อนข้างดี แถมเบี้ยประกันก็ไม่แพงมาก
1. ทุนประกันภัย – เลือกให้เหมาะ ไม่มากไม่น้อยเกินไป
ทุนประกันภัยก็คือมูลค่าสูงสุดที่บริษัทประกันจะจ่ายให้คุณ ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา ซึ่งควรเลือกให้ใกล้เคียงกับราคารถของคุณมากที่สุดถ้าเลือกทุนประกันภัยต่ำเกินไป เวลาเคลมอาจจะได้เงินไม่พอซ่อมรถ แต่ถ้าเลือกสูงเกินไป ก็ต้องจ่ายเบี้ยประกันแพงโดยใช่เหตุวิธีง่ายๆ คือลองเช็คราคารถมือสองรุ่นเดียวกับคุณในท้องตลาด แล้วเลือกทุนประกันภัยให้ใกล้เคียงกับราคานั้น หรือถ้าไม่แน่ใจ ลองปรึกษาตัวแทนประกันดูก็ได้ เขาจะช่วยแนะนำให้เลือกทุนประกันภัยที่เหมาะสมได้
2. เบี้ยประกันภัย – ถูกไม่ได้แปลว่าไม่ดี แพงก็อาจจะไม่จำเป็น
เบี้ยประกันภัยก็คือค่าใช้จ่ายที่คุณต้องจ่ายให้บริษัทประกัน เพื่อแลกกับความคุ้มครอง ซึ่งราคาจะแตกต่างกันไปตามปัจจัยหลายอย่าง เช่น อายุรถ ยี่ห้อรถ ประวัติการขับขี่ของคุณ และแน่นอนว่าประเภทของประกันที่เลือกด้วย แต่อย่าเพิ่งรีบเลือกเบี้ยประกันที่ถูกที่สุดนะ เพราะบางทีเบี้ยถูกอาจจะแลกมาด้วยความคุ้มครองที่น้อยลง หรือเงื่อนไขที่ยุ่งยากกว่า ลองเทียบราคาประกันรถยนต์ให้ดีๆ ว่าคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปหรือเปล่า
ถ้าอยากประหยัดเบี้ยประกัน ลองมองหาโปรโมชั่นดีๆ ดูก็ได้ บางบริษัทอาจจะมีส่วนลดพิเศษ หรือของแถมน่าสนใจ แต่ก็อย่าลืมอ่านเงื่อนไขให้ละเอียดด้วยล่ะ
3. ความคุ้มครอง – อ่านให้ละเอียด เข้าใจให้ชัดเจน
ความคุ้มครองคือหัวใจสำคัญของประกันรถยนต์ ซึ่งแต่ละบริษัทก็จะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันไป บางอย่างอาจจะดูเหมือนกัน แต่พอลงรายละเอียดแล้วไม่เหมือนกันเลย ตัวอย่างเช่น ประกันบางกรมธรรม์อาจจะคุ้มครองอุปกรณ์ตกแต่งเพิ่มเติม แต่บางกรมธรรม์อาจจะไม่คุ้มครอง หรือบางกรมธรรม์อาจจะมีบริการรถยนต์ทดแทนระหว่างซ่อม แต่บางกรมธรรม์อาจจะไม่มี ดังนั้น หลังจากที่ เทียบราคาประกันรถยนต์ เสร็จแล้ว อย่าลืมอ่านรายละเอียดความคุ้มครองให้ดีๆ นะ ถ้าไม่แน่ใจตรงไหน ก็ถามตัวแทนประกันให้ชัดเจนไปเลย ดีกว่ามาเสียใจทีหลังตอนที่เกิดเหตุแล้วพบว่าไม่ได้รับความคุ้มครองอย่างที่คิด
4. วงเงินคุ้มครอง – มากพอไหม ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา
วงเงินคุ้มครองก็เป็นอีกสิ่งที่ต้องพิจารณาให้ดี โดยเฉพาะวงเงินคุ้มครองความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของบุคคลภายนอก ลองนึกภาพดูว่า ถ้าคุณไปชนรถหรูราคาแพงเข้า แล้ววงเงินคุ้มครองไม่พอ คุณก็ต้องควักกระเป๋าจ่ายส่วนต่างเอง ซึ่งอาจจะเป็นเงินก้อนใหญ่เลยทีเดียว สำหรับมือใหม่ แนะนำให้เลือกวงเงินคุ้มครองที่สูงหน่อย อย่างน้อย 1 ล้านบาทขึ้นไป จะได้สบายใจว่าถ้าเกิดอะไรขึ้น ก็มีเงินพอจ่าย แต่ก็อย่าลืมว่า วงเงินคุ้มครองที่สูงขึ้น ก็จะทำให้เบี้ยประกันแพงขึ้นด้วยนะ ต้องชั่งน้ำหนักให้ดีว่าคุ้มค่ากับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นหรือไม่
5. เงื่อนไขการคุ้มครอง – อ่านให้ละเอียด ไม่งั้นอาจเสียสิทธิ์
เงื่อนไขการคุ้มครองเป็นสิ่งที่หลายคนมักจะมองข้าม แต่จริงๆ แล้วสำคัญมากๆ เลยนะ เพราะถ้าไม่ปฏิบัติตาม อาจจะทำให้เสียสิทธิ์ในการเคลมประกันได้ ตัวอย่างเช่น บางบริษัทอาจจะมีเงื่อนไขว่าต้องแจ้งเคลมภายใน 24 ชั่วโมงหลังเกิดเหตุ หรือห้ามซ่อมรถเองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากบริษัทประกัน บางกรมธรรม์อาจจะมีเงื่อนไขเรื่องผู้ขับขี่ด้วย เช่น คุ้มครองเฉพาะผู้ขับขี่ที่มีอายุมากกว่า 25 ปี หรือมีใบขับขี่มาแล้วไม่ต่ำกว่า 1 ปี ดังนั้น อย่าลืมอ่านเงื่อนไขการคุ้มครองให้ละเอียด และถ้าไม่เข้าใจตรงไหน ก็ถามตัวแทนประกันให้ชัดเจนไปเลย จะได้ไม่พลาดสิทธิ์ที่ควรจะได้รับ
6. ความน่าเชื่อถือของบริษัทประกัน – เลือกบริษัทดี อุ่นใจยามเกิดเหตุ
การเลือกบริษัทประกันที่น่าเชื่อถือก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา คุณจะได้มั่นใจว่าจะได้รับการช่วยเหลือและการชดเชยอย่างเป็นธรรมลองหาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทประกันที่คุณสนใจดู เช่น ประวัติการดำเนินงาน ฐานะทางการเงิน หรือรีวิวจากลูกค้าที่เคยใช้บริการ นอกจากนี้ยังควรพิจารณาเรื่องบริการหลังการขายด้วย เช่น มีศูนย์รับแจ้งเหตุ 24 ชั่วโมงหรือไม่ มีเครือข่ายอู่ซ่อมที่กว้างขวางแค่ไหน หรือมีบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนหรือเปล่า สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้คุณได้รับความช่วยเหลือที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพยามเกิดเหตุ อย่าลืมว่า บริษัทประกันที่มีชื่อเสียงดีอาจจะมีเบี้ยประกันที่แพงกว่าเล็กน้อย แต่ก็อาจจะคุ้มค่ากว่าในระยะยาว เพราะคุณจะได้รับบริการที่ดีและรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ
7. ส่วนลดและโปรโมชั่น – ประหยัดได้ แต่ต้องดูให้ดี
ใครไม่อยากได้ส่วนลดบ้างล่ะ? แต่ก่อนจะตัดสินใจซื้อประกันเพราะโปรโมชั่นเด็ด ลองเปรียบเทียบประกันรถยนต์ให้ดีก่อนว่าคุ้มค่าจริงๆ หรือเปล่าบางบริษัทอาจจะเสนอส่วนลดพิเศษสำหรับผู้ขับขี่ที่ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุ หรือมีประวัติการขับขี่ที่ดี บางที่อาจจะมีโปรโมชั่นจ่ายเบี้ยประกันเป็นงวด ไม่ต้องจ่ายทีเดียวก้อนใหญ่ แต่ก็อย่าลืมว่า ส่วนลดที่ดูเยอะๆ อาจจะแลกมาด้วยความคุ้มครองที่น้อยลง หรือเงื่อนไขที่เข้มงวดขึ้น ดังนั้น อย่าลืมอ่านรายละเอียดให้ดีๆ ก่อนตัดสินใจ นอกจากนี้ ยังมีวิธีประหยัดเบี้ยประกันอื่นๆ อีก เช่น การติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันการโจรกรรมอย่างการติดกล้องวงจรผิด หรือการเลือกระบุค่าเสียหายส่วนแรก (Deductible) ที่สูงขึ้น ซึ่งจะทำให้เบี้ยประกันถูกลง แต่ก็ต้องรับผิดชอบค่าเสียหายส่วนแรก (Excess) เองมากขึ้นเวลาเกิดเหตุ
8. บริการเสริม – เล็กๆ น้อยๆ แต่อาจช่วยได้มาก
บริการเสริมอาจจะดูเป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แต่บางทีก็ช่วยอำนวยความสะดวกได้มากทีเดียว ลองดูว่าบริษัทประกันไหนมีบริการเสริมที่น่าสนใจบ้าง ตัวอย่างเช่น บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน 24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนยาง เติมน้ำมัน หรือลากรถ บางบริษัทอาจจะมีบริการรถยนต์ทดแทนระหว่างซ่อม ทำให้คุณไม่ต้องเสียเวลาหารถเช่าเอง บางที่อาจจะมีแอปพลิเคชันสำหรับแจ้งเคลมออนไลน์ ทำให้กระบวนการเคลมประกันง่ายและรวดเร็วขึ้น หรืออาจจะมีบริการให้คำปรึกษาทางกฎหมายฟรี ในกรณีที่เกิดข้อพิพาทจากอุบัติเหตุ แม้ว่าบริการเสริมเหล่านี้อาจจะทำให้เบี้ยประกันแพงขึ้นเล็กน้อย แต่ก็อาจจะคุ้มค่าในระยะยาว โดยเฉพาะสำหรับมือใหม่ที่อาจจะยังไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์ฉุกเฉินบนท้องถนน
9. ความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนกรมธรรม์ – เผื่อชีวิตเปลี่ยน ประกันก็ต้องเปลี่ยนตาม
สุดท้ายแล้ว ก็อย่าลืมพิจารณาเรื่องความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนกรมธรรม์ด้วย เพราะชีวิตเราไม่แน่นอน อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อการใช้รถ ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณย้ายที่ทำงานและต้องขับรถไกลขึ้น คุณอาจจะต้องการเพิ่มความคุ้มครอง หรือถ้าคุณเปลี่ยนงานและใช้รถน้อยลง คุณอาจจะต้องการลดความคุ้มครองเพื่อประหยัดเบี้ยประกัน ลองถามบริษัทประกันดูว่า สามารถปรับเปลี่ยนความคุ้มครองระหว่างปีได้หรือไม่ มีค่าธรรมเนียมในการเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า และมีข้อจำกัดอะไรบ้าง นอกจากนี้ ยังควรดูว่าบริษัทมีนโยบายการต่ออายุกรมธรรม์อย่างไร มีส่วนลดสำหรับลูกค้าเก่าหรือไม่ และมีการปรับเบี้ยประกันอย่างไรในปีถัดไป
สรุป – เลือกให้ดี ขับขี่อุ่นใจ
การเลือกซื้อประกันรถยนต์อาจจะดูเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับมือใหม่ แต่ถ้าคุณพิจารณา 10 สิ่งที่เราแนะนำมานี้ให้ดี รับรองว่าคุณจะได้ประกันรถยนต์ที่คุ้มค่าและตรงกับความต้องการของคุณมากที่สุด
อย่าลืมว่า ประกันรถยนต์ไม่ใช่แค่กระดาษแผ่นหนึ่ง แต่มันคือความอุ่นใจที่จะอยู่เคียงข้างคุณยามเกิดเหตุไม่คาดฝัน ดังนั้น ใช้เวลาในการเปรียบเทียบประกันรถยนต์และพิจารณาอย่างรอบคอบ อย่าตัดสินใจแบบรีบร้อนหรือเลือกเพราะเทียบราคาประกันรถยนต์ดูแล้วถูกเพียงอย่างเดียวและที่สำคัญที่สุด หลังจากที่คุณได้ประกันรถยนต์มาแล้ว อย่าลืมขับขี่อย่างระมัดระวัง ปฏิบัติตามกฎจราจร และดูแลรักษารถให้ดี เพราะนั่นคือวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันอุบัติเหตุและรักษาสิทธิประโยชน์จากประกันของคุณ สุดท้ายนี้ ขอให้ทุกคนเดินทางปลอดภัย ขับขี่อย่างมีความสุข และอุ่นใจไปกับประกันรถยนต์ที่ใช่สำหรับคุณ!