
ตรวจสภาพรถ ขั้นตอนสำคัญก่อนต่อภาษีที่ไม่ควรมองข้าม

การตรวจสภาพรถเป็นสิ่งสำคัญที่เจ้าของรถทุกคนต้องใส่ใจ เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ และเพื่อให้รถของคุณพร้อมใช้งานอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ส่วนบุคคล หรือรถจักรยานยนต์ นอกจากนี้การตรวจสภาพรถยังเป็นข้อบังคับตามกฎหมายที่คุณไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะรถยนต์ที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 7 ปี หรือรถจักรยานยนต์เกิน 5 ปีขึ้นไป หากคุณต้องการต่อภาษีรถยนต์ การตรวจสภาพรถให้ผ่านคือเรื่องจำเป็นที่ต้องทำอย่างมาก
บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจว่าการตรวจสภาพรถ คืออะไร ต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง มีค่าบริการเท่าไหร่ และขั้นตอนการตรวจสภาพรถที่ ตรอ. อย่างละเอียด เพื่อให้คุณมั่นใจในทุกการเดินทาง
Key Takeaways
- ตรวจสภาพรถ คือ การตรวจสอบสภาพรถตามมาตรฐานขนส่งฯ บังคับทำก่อนต่อภาษีรถยนต์ เพื่อความปลอดภัยและลดมลภาวะที่ออกมาจากควันท่อ
- รถยนต์อายุ 7 ปีขึ้นไป และมอเตอร์ไซค์ 5 ปีขึ้นไป ต้องตรวจสภาพรถที่ ตรอ. ก่อนต่อภาษีรถยนต์ และต่อพรบรถยนต์
- เอกสารที่ใช้ตรวจสภาพรถมีเพียงเล่มทะเบียนรถ พร้อมค่าบริการ 60 บาท (มอเตอร์ไซค์) หรือ 150-250 บาท (รถยนต์)
- หากตรวจสภาพรถไม่ผ่าน ต้องนำรถไปแก้ไขและกลับมาตรวจซ้ำภายใน 15 วัน เพื่อให้ได้ ใบรับรองตรวจสภาพรถ
- นอกจากการตรวจสภาพรถแล้ว การมีประกันรถยนต์ที่เหมาะสม เช่น ประกันรถยนต์ชั้น 1 ก็จะช่วยเพิ่มความคุ้มครองและอุ่นใจในการขับขี่ได
ตรวจสภาพรถ และ ตรอ. คืออะไร? ทำไมถึงสำคัญ?
ตรอ. ย่อมาจาก ‘สถานตรวจสภาพรถเอกชน’ ที่ได้รับอนุญาตจากกรมการขนส่งทางบก ให้ทำหน้าที่ตรวจสอบสภาพและความพร้อมของรถยนต์ หรือรถจักรยานยนต์ตามมาตรฐานที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด เพื่อให้แน่ใจว่ารถอยู่ในสภาพที่ปลอดภัย และไม่ก่อให้เกิดมลภาวะมากเกินไป
การตรวจสภาพรถเป็นเงื่อนไขสำคัญก่อนการต่อภาษีรถยนต์ประจำปีสำหรับรถบางประเภท โดยสามารถนำรถไปตรวจสภาพรถที่ ตรอ. สาขาที่สะดวก มีความรวดเร็ว และไม่ต้องต่อคิวที่กรมขนส่ง
เมื่อไหร่ที่ควรนำรถไปตรวจสภาพรถ?
การตรวจสภาพรถเป็นข้อบังคับสำหรับรถบางประเภทก่อนการต่อภาษีรถยนต์ ดังนี้
- รถยนต์ส่วนบุคคลไม่เกิน 7 ที่นั่ง (รถเก๋ง รถกระบะ 4 ประตู) ที่มีอายุครบ 7 ปีขึ้นไป นับตั้งแต่วันที่จดทะเบียนครั้งแรก
- รถยนต์ส่วนบุคคลเกิน 7 ที่นั่ง (รถตู้ รถ SUV) ที่มีอายุครบ 7 ปีขึ้นไป นับตั้งแต่วันที่จดทะเบียนครั้งแรก
- รถจักรยานยนต์ ที่มีอายุครบ 5 ปีขึ้นไป นับตั้งแต่วันที่จดทะเบียนครั้งแรก
- รถยนต์ที่ติดตั้งแก๊ส LPG/NGV จำเป็นต้องตรวจตามรอบทุกปี
- รถยนต์ หรือรถจักรยานยนต์ที่ขาดต่อภาษี เกิน 1 ปีขึ้นไป
หากรถของคุณเข้าเกณฑ์ดังกล่าว คุณจะต้องนำรถไปตรวจสภาพรถต่อภาษีที่ ตรอ. หรือกรมการขนส่งทางบก ก่อนที่จะดำเนินการชำระภาษีรถยนต์ประจำปีได้ รวมไปถึงกรณีอื่นที่ไม่ได้บังคับ แต่แนะนำให้ตรวจสภาพรถ เช่น
- กรณีโอนกรรมสิทธิ์รถ ควรนำรถเข้าตรวจสภาพก่อนทำเอกสารโอนรถ
- รถใช้งานหนัก แนะนำว่าควรตรวจปีละ 1 ครั้งแม้ไม่ถึงเกณฑ์บังคับ
เอกสารที่ใช้ในการตรวจสภาพรถ มีอะไรบ้าง?
การเตรียมเอกสารให้พร้อม จะช่วยให้ขั้นตอนการตรวจสภาพรถเป็นไปอย่างราบรื่น สำหรับคำถามว่าการตรวจสภาพรถที่ ตรอ. ใช้อะไรบ้างนั้น เอกสารหลักที่จำเป็นมีเพียงอย่างเดียวคือ เล่มทะเบียนรถ (ใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์) ตัวจริงหรือสำเนาเท่านั้น แต่ถ้าหากรถของคุณมีการดัดแปลงสภาพ เช่น ติดตั้งแก๊ส LPG/NGV จะต้องมีหนังสือรับรองการติดตั้งแก๊สเพิ่มเติมด้วย
ก่อนตรวจสภาพรถ อย่าลืมตรวจเช็กใบขับขี่ หากใบขับขี่หมดอายุ สามารถต่อใบขับขี่ได้ง่าย ๆ ผ่านช่องทางออนไลน์

ค่าบริการการตรวจสภาพรถยนต์ ราคาเท่าไหร่?
ค่าบริการสำหรับตรวจสภาพรถที่ ตรอ. มีราคากำหนดไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้คุณสามารถประมาณราคาตรวจสภาพรถ ได้ล่วงหน้า โดยมีรายละเอียดดังนี้
- รถยนต์ที่มีน้ำหนักรถเปล่าไม่เกิน 1,600 กก. : ค่าตรวจสภาพรถ 150 บาท/คัน (เป็นราคาสำหรับรถเก๋งซีดานส่วนใหญ่)
- รถยนต์ที่มีน้ำหนักรถเปล่าเกิน 1,600 กก. : ค่าบริการ 250 บาท/คัน
- ตรวจสภาพรถมอไซค์/จักรยานยนต์ : ค่าบริการ 60 บาท/คัน
ราคาเหล่านี้เป็นมาตรฐานสำหรับการตรวจที่สถานตรวจสภาพรถเอกชน หรือ ตรอ. ทั่วไป คุณสามารถค้นหาที่ตรวจสภาพรถ ตรอ. ราคามาตรฐานได้ง่าย ๆ จากป้ายประกาศของแต่ละสถานตรวจสภาพรถ
ขั้นตอนตรวจสภาพรถที่ตรอ. มีอะไรบ้าง?
สำหรับขั้นตอนการตรวจสภาพรถที่ ตรอ. อันดับแรกจะมีการเรียกตรวจข้อมูลความถูกต้องของเอกสารให้ครบถ้วน เพื่อตรวจเช็กดูว่าข้อมูลในสมุดทะเบียนรถตรงกับตัวรถที่นำมาตรวจสภาพรถหรือไม่ หลังจากนั้นจึงจะตรวจสภาพรถทั้งภายนอกและภายในอย่างละเอียด มาดูกันว่าการตรวจสภาพรถ ตรวจอะไรบ้าง และมีขั้นตอนการตรวจอย่างไรกัน
1. ตรวจสอบความถูกต้องของรถเบื้องต้น
ขั้นตอนแรกของการตรวจสภาพรถที่ ตรอ. คือการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลรถในสมุดเล่มทะเบียนรถ ตรวจเช็กดูว่ายี่ห้อรถ รุ่นรถ ป้ายทะเบียน สีรถ หรือเลขตัวถัง ตรงกับรถคันที่นำมาตรวจสภาพรถหรือไม่ หากพบว่ารถมีการดัดแปลงหรือแก้ไขเพิ่มเติม เช่น ติดตั้งแก๊ส LPG/NGV เจ้าของรถจะต้องมีหนังสือรับรองประกอบการติดตั้ง
2. การตรวจภายนอกและอุปกรณ์ความปลอดภัย
ถัดมาเป็นการตรวจสภาพรถภายนอก เช่น ตรวจเช็กดูกันชน ประตู ยางรถยนต์ รวมทั้งการตรวจดูใต้ท้องรถเพื่อเช็กระบบความปลอดภัยใต้ท้องรถในส่วนต่าง ๆ ตลอดไปจนถึงโครงสร้างของตัวรถว่ายังอยู่ในสภาพที่พร้อมต่อการใช้งานได้ตามปกติหรือไม่
3. การทดสอบศูนย์ล้อหน้า
ช่วงล่างของรถนับว่าเป็นส่วนที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก การทดสอบศูนย์ล้อหน้าจึงต้องมีการปรับมุมล้อให้มั่นคง เพื่อช่วยในเรื่องของการควบคุมรถให้ไม่เสียสมดุลเอียงไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง นอกจากนี้ยังสามารถช่วยยืดอายุการใช้งานของยางรถยนต์ให้นานขึ้นได้อีกด้วย
4. การทดสอบระบบเบรก
นอกจากเรื่องของการตั้งศูนย์ล้อหน้าแล้ว อีกหนึ่งส่วนสำคัญของตัวรถยนต์ก็คือระบบเบรก โดยจะมีการตรวจสภาพรถ ตรวจเช็กอุปกรณ์ทุกชื้นที่มีความเกี่ยวข้องกับระบบเบรกให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์และพร้อมต่อการใช้งานมากที่สุด
5. การตรวจวัดโคมไฟหน้า
การตรวจวัดโคมไฟหน้าจะเป็นการตรวจวัดทิศทางและการเบี่ยงเบนของแสง รวมถึงวัดค่าความเข้มข้นของแสงว่าอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานหรือไม่ เพื่อสร้างความปลอดภัยต่อผู้ใช้ถนนคนอื่น ๆ ในการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ
6. ตรวจวัดคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) และไฮโดรคาร์บอน (HC)
การตรวจสอบวัดก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) และก๊าซไฮโดรคาร์บอน (HC) เป็นการตรวจวัดว่ารถยนต์แต่ละคันปล่อยก๊าซดังกล่าวออกมาในปริมาณเกินกว่าที่กำหนดหรือไม่ โดยรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ที่จดทะเบียนตั้งแต่ 1 ม.ค. 2550 เป็นต้นไป จะต้องมีค่าก๊าซ CO ไม่เกินร้อยละ 0.5 และมีค่าก๊าซ HC ไม่เกิน 100 ส่วนในล้านส่วน
7. ตรวจวัดค่าควันดำ
สำหรับผู้ที่ใช้รถยนต์เครื่องดีเซลที่มาตรวจสภาพรถกับ ตรอ. จะต้องทำการตรวจวัดค่าควันดำ โดยจะต้องมีระบบกระดาษกรองไม่เกินร้อยละ 50 และระบบวัดความทึบแสงไม่เกินร้อยละ 45
8. ตรวจวัดระดับเสียงจากท่อไอเสีย
การตรวจวัดระดับเสียงจากท่อไอเสียสำหรับรถยนต์จะต้องไม่เกิน 100 เดซิเบล เอ และในส่วนของรถจักรยานยนต์จะต้องไม่เกิน 95 เดซิเบล เอ
รถยนต์ประเภทไหนที่ไม่สามารถตรวจสภาพรถกับ ตรอ. ได้?
แม้ว่าตรอ.จะเป็นทางเลือกที่สะดวกสบายสำหรับการตรวจสภาพรถ แต่ก็มีรถยนต์บางประเภทที่ไม่สามารถใช้บริการสถานตรวจสภาพรถเอกชนได้ ต้องนำไปตรวจสภาพที่กรมการขนส่งทางบกเท่านั้น ได้แก่
- รถที่ติดตั้งโครงสร้างหรืออุปกรณ์สำหรับใช้ในการขนส่ง เช่น รถกระบะที่มีโครงหลังคา
- รถที่มีการดัดแปลงสภาพ เช่น เปลี่ยนเครื่องยนต์, เปลี่ยนสี (ที่ยังไม่ได้แจ้งเปลี่ยนข้อมูลในเล่มทะเบียนรถให้เรียบร้อย) รวมไปถึงการดัดแปลงแบบผิดกฎหมายในรูปแบบอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน
- รถที่มีปัญหาเกี่ยวกับเลขตัวรถ หรือเลขเครื่องยนต์ (เช่น เลขไม่ชัดเจน มีการแก้ไข หรือลบเลือน)
- รถที่มีเลขทะเบียนรุ่นเก่า เช่น กท-00001 หรือ กทจ-0001 เนื่องจากอาจมีข้อจำกัดบางประการ เช่น อายุการใช้งานของรถ หรือสภาพรถที่ไม่เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด
- รถที่ขาดต่อภาษี เกิน1 ปีขึ้นไป
- รถที่ถูกระงับทะเบียน/ขาดการต่อทะเบียน เกิน 1 ปีขึ้นไป
- รถที่จมน้ำหรือไฟไหม้จนไม่สามารถตรวจสอบได้ ต้องนำไปตรวจสอบที่กรมการขนส่งทางบกเท่านั้น
- รถที่เกี่ยวข้องกับการถูกโจรกรรมแต่เพิ่งได้คืนมา เนื่องจากอาจมีปัญหากับเลขตัวถัง หรือเลขเครื่องยนต์ที่ไม่ตรงกับที่จดทะเบียนไว้
ดังนั้นก่อนที่คุณจะไปตรวจสภาพรถ ควรตรวจสอบประเภทรถให้แน่ใจก่อนว่ามีข้อไหนเข้าข่ายหรือไม่ เพื่อไม่ให้ต้องเสียเวลาเดินทางไป ตรอ. และนำรถไปตรวจที่กรมการขนส่งทางบกโดยตรงได้เลย
หากตรวจสภาพรถไม่ผ่าน ควรทำอย่างไร?
หากผลการตรวจสภาพรถออกมาว่าไม่ผ่านเกณฑ์ ไม่ต้องกังวล! เพราะเจ้าหน้าที่ตรอ. จะแจ้งจุดบกพร่องที่ต้องแก้ไขให้คุณทราบ คุณจะต้องนำรถไปแก้ไขซ่อมแซมให้เรียบร้อย อาจจะนำไปที่ร้านซ่อมรถยนต์ใกล้ฉันที่คุณไว้วางใจ จากนั้นจึงนำรถกลับมาตรวจสภาพรถซ้ำอีกครั้งภายในระยะเวลาที่กำหนด (ภายใน 15 วัน) โดยจะไม่เสียค่าใช้จ่ายในการตรวจซ้ำในจุดเดิม หากคุณปล่อยทิ้งไว้จนเกินกำหนด คุณอาจจะต้องเสียค่าตรวจสภาพรถใหม่ทั้งหมด และเมื่อตรวจผ่านแล้วก็จะได้ใบรับรองตรวจสภาพรถเพื่อนำไปใช้ยื่นต่อภาษี หรือต่อพรบ. รถยนต์ต่อไป
ตรวจสภาพรถเพื่อความอุ่นใจในการขับขี่
การตรวจสภาพรถเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการดูแลรถของคุณให้พร้อมใช้งานและปลอดภัยอยู่เสมอ การเลือกใช้บริการตรวจสภาพรถที่ ตรอ. ที่ได้มาตรฐาน จะช่วยให้คุณมั่นใจในผลการตรวจสอบ และสามารถดำเนินการต่อภาษีรถยนต์ หรือต่อพรบรถยนต์ ได้อย่างราบรื่น
เมื่อทำการตรวจสอบรถยนต์ที่ตรอ. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ข้อมูลจากการตรวจสอบจะถูกส่งไปยังกรมการขนส่งทางบกแบบเรียลไทม์ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้เสียภาษีให้สามารถดำเนินการชำระภาษีในขั้นตอนถัดไปได้อย่างรวดเร็ว
สำหรับการชำระภาษีออนไลน์ หากรถยนต์ของคุณยังไม่ผ่านการตรวจสอบที่ ตรอ. จะมีข้อความแจ้งเตือนให้นำรถยนต์ หรือรถจักรยานยนต์ของท่านไปตรวจสภาพรถให้เสร็จสิ้นก่อน จึงจะสามารถดำเนินการชำระภาษีได้นั่นเอง
เพื่อความสบายใจและมั่นใจในทุกเส้นทาง อย่าลืมทำประกันรถยนต์เอาไว้ เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองที่ครอบคลุม เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันก็ยังแจ้งเคลมได้ ส่วนจะเลือกประกันรถยนต์ชั้น 1 ,ประกันรถยนต์ 2+ หรือประกันรถยนต์ 3+ หรือทำประกันรถ บริษัทไหนดี สามารถเปรียบเทียบเพื่อความคุ้มค่าได้เลย ที่ SILKSPAN ไม่ว่าจะเป็นประกันรถ วิริยะ , ประกันรถ โตเกียวมารีน, ประกันรถยนต์ ไทยวิวัฒน์ หรือประกันรถยนต์ กรุงเทพ เรามีประกันรถยนต์มานำเสนอมากมาย
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
- Facebook : SILKSPAN
- Instagram : silkspan
- Line Official : @SILKSPAN
- X (twitter) : SILKSPAN
- Youtube : SILKSPAN
- TikTok : silkspan