
ฝนตกถนนลื่น ขับยังไงให้ปลอดภัย

สาเหตุของการลื่นมีหลายปัจจัยด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศ สภาพถนน สภาพยางที่ใช้อยู่ ความเร็วที่ใช้ ทัศนวิสัย และลักษณะการขับขี่ของผู้ขับ ซึ่งเมื่อเกิดการลื่นแล้ว การแก้ไขควบคุมเพื่อให้รถหยุดและกลับมาอยู่ในทิศทางปกตินั้นทำได้ยาก แม้ว่าผู้ขับจะมีความชำนาญมากก็ตาม ดังนั้นการแก้ไขที่ดีที่สุดคือการป้องกันไม่ให้เกิดการลื่นตั้งแต่แรก
วิธีป้องกันไม่ให้รถลื่นไถลไปในช่วงที่ฝนตกมีดังนี้
1.ไม่ออกรถอย่างรวดเร็ว หรือกระชาก
การออกตัวรถกระชากด้วยความแรง จะทำให้ระบบรถยนต์สึกก่อนเวลา ทั้งเสียงชุดเกียร์แตก, คลัชสึก, เพลาเสื่อม หรือขาด
2.ไม่เบรกกะทันหันในขณะที่ใช้ความเร็วสูงอยู่
การเบรกกะทันหันในขณะที่ใช้ความเร็วสูง มีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติ หรือรถพลิกคว่ำได้ และยิ่งในขณะที่ฝนตกถนนลื่น ยิ่งสร้างความเสียหายสูงขึ้นจากปกติขึ้นอย่างแน่นอน มีโอกาสเกิดอุบัติ เช่น การชนท้าย ที่เกิดจากการเบรกกะทันหันของรถที่วิ่งมาด้วยความเร็วต่อๆ กัน
3.ไม่ใช้ความเร็วมาก ขับแบบไปเรื่อยๆ 40-60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
เมื่อฝนตก ควรใช้ความเร็วในการขับขี่ที่เหมาะสม ซึ่งควรอยู่ในระดับ 40-60 กิโลเมตร ถึงแม้ว่าจะเป็นความเร็วที่ช้า แต่ชัวร์ และปลอดภัย ทั้งตัวผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร และผู้ร่วมทางคนอื่นด้วย
4.ไม่หักพวงมาลัย หรือเปลี่ยนช่องทางกะทันหัน
นอกจากอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุแล้ว การหักพวงมาลัย หรือเปลี่ยนช่องทางกะทันหัน เสี่ยงทำให้เกิดการชนท้าย หรืออาจมีความเสี่ยงพลิกคว่ำในขณะที่ถนนลื่นในช่วงที่ฝนตก เนื่องจากถนนลื่น และมีความลำบากในการบังคับรถ
5.ไม่เหยียบคลัชขณะเข้าโค้ง
การเหยียบคลัชขณะเข้าโค้ง จะทำให้ควบคุมรถได้ยาก มีโอกาสทำให้เกิดอุบัติเหตุ และอาจทำให้หลุดโค้งได้อีกด้วย
6.ทิ้งระยะห่างจากคันหน้า เพื่อให้มีระยะเบรกมากขึ้น
ควรเว้นระยะจากรถคันหน้าเป็นระยะประมาณ 2-3 วินาทีขึ้นไปเพื่อให้มีระยะเว้นว่างที่ปลอดภัยในการเบรก
แต่ถ้าเสียหลักแล้ว ให้ถอนเท้าออกจากคันเร่ง จับพวงมาลัยให้มั่น นอกจากนี้คุณควรจะหมั่นเช็กสภาพยาง ผ้าเบรก และระบบเบรกอยู่เสมอ
7. ตรวจสอบสภาพยางและดอกยางก่อนขับขี่
ยางรถยนต์ที่มีสภาพดี และดอกยางลึกเพียงพอจะช่วยเพิ่มการยึดเกาะถนนในสภาพเปียก ลดความเสี่ยงของการลื่นไถล ควรตรวจสอบสภาพยางอย่างสม่ำเสมอ และเปลี่ยนยางเมื่อถึงระยะเวลาที่กำหนด
8. ใช้ไฟหน้าและไฟตัดหมอกอย่างถูกวิธี
ในสภาพอากาศที่มีฝนตกหนัก การเปิดไฟหน้าจะช่วยให้รถของคุณมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น และการใช้ไฟตัดหมอกในกรณีที่มีหมอกหรือฝนหนาแน่นจะช่วยเพิ่มทัศนวิสัย แต่ควรใช้ไฟตัดหมอกอย่างถูกต้องเพื่อไม่ให้รบกวนสายตาผู้ขับขี่คนอื่น
9. หลีกเลี่ยงการขับผ่านแอ่งน้ำลึก
การขับผ่านแอ่งน้ำลึกอาจทำให้เกิดอาการ “ไฮโดรเพลน” หรือการสูญเสียการควบคุมรถเนื่องจากยางไม่สามารถสัมผัสกับพื้นถนนได้ ควรหลีกเลี่ยงหรือขับผ่านด้วยความระมัดระวังและความเร็วต่ำ
10. ตรวจสอบระบบเบรกและระบบปัดน้ำฝน
ระบบเบรกที่มีประสิทธิภาพและใบปัดน้ำฝนที่อยู่ในสภาพดีจะช่วยให้การขับขี่ในสภาพฝนตกปลอดภัยยิ่งขึ้น ควรตรวจสอบและบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ
11. วางแผนเส้นทางและเวลาเดินทาง
ในช่วงที่มีฝนตกหนัก ควรวางแผนเส้นทางล่วงหน้า หลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีน้ำท่วมขังหรือมีประวัติการเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง และเผื่อเวลาในการเดินทางเพิ่มเติมเพื่อความปลอดภัย

ประกันรถยนต์ชั้นไหนคุ้มครองอุบัติเหตุช่วงฝนตกบ้าง?
ช่วงฤดูฝนที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงบนท้องถนน ไม่ว่าจะเป็นการเหินน้ำ ลื่นไถล หรือทัศนวิสัยที่ลดลง ล้วนเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุโดยไม่ทันตั้งตัว ดังนั้น การเลือกประกันรถยนต์ที่เหมาะสมและครอบคลุมเหตุการณ์เหล่านี้จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก
-
ประกันรถยนต์ชั้น 1 เป็นตัวเลือกที่ให้ความคุ้มครองสูงสุด ครอบคลุมทั้งความเสียหายต่อตัวรถ ไม่ว่าจะมีคู่กรณีหรือไม่ก็ตาม เช่น ขับรถลื่นไถลชนเสา หรือเกิดอุบัติเหตุจากถนนลื่น รวมถึงภัยธรรมชาติอย่างน้ำท่วม ไฟไหม้ และรถหาย เหมาะสำหรับรถใหม่ หรือผู้ที่ต้องการความอุ่นใจสูงสุดทุกสถานการณ์
-
ประกันรถยนต์ชั้น 2+ และ 3+ แม้จะมีค่าเบี้ยที่ถูกลง แต่การคุ้มครองจะจำกัดกว่า โดยทั่วไปจะคุ้มครองเฉพาะกรณีที่มีคู่กรณีเป็นยานพาหนะทางบก และไม่ครอบคลุมกรณีไม่มีคู่กรณี เช่น ขับลื่นชนกำแพง นอกจากนี้ ชั้น 2+ ยังอาจไม่คุ้มครองกรณีภัยธรรมชาติเช่นน้ำท่วม ควรทำการเช็กเงื่อนไขการรับประกันในหน้ากรมธรรม์ให้ดีก่อนตัดสินใจลุยน้ำ
ดังนั้น หากคุณต้องขับรถบ่อยในช่วงหน้าฝน หรืออยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุและน้ำท่วม การเลือกประกันรถยนต์ชั้น 1 กับผู้ให้บริการที่เชื่อถือได้ เช่น SILKSPAN ที่มีแผนประกันให้เลือกหลากหลาย พร้อมเปรียบเทียบเบี้ยจากหลายบริษัท ก็จะช่วยให้คุณมั่นใจมากขึ้นในทุกการเดินทาง
ฝนตกแล้วรถเสียกลางทาง ใช้สิทธิ์อะไรได้บ้างจากประกัน?
หากคุณเคยประสบเหตุรถสตาร์ทไม่ติด ยางรั่ว หรือเครื่องยนต์ดับกลางฝน จะรู้ว่าการติดอยู่กลางถนนขณะฝนตกเป็นสถานการณ์ที่น่ากังวลมาก โชคดีที่ประกันภัยรถยนต์ชั้นดีส่วนใหญ่มักมีบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน หรือ Roadside Assistance ที่สามารถเรียกใช้ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
บริการที่สามารถใช้ได้ เช่น
-
บริการลากรถ หากรถสตาร์ทไม่ติด หรือขับต่อไม่ได้เพราะเกิดปัญหาจากฝนตก เช่น ระบบไฟฟ้าชำรุดจากความชื้น สามารถเรียกใช้บริการลากรถไปยังศูนย์ซ่อมในเครือได้ทันที
-
เติมน้ำมันฉุกเฉิน กรณีที่น้ำมันหมดกลางทางและไม่สะดวกออกไปเติมเอง
-
บริการเปลี่ยนยาง ยางรั่วกลางฝน อาจอันตรายเกินไปหากต้องเปลี่ยนเอง บริการนี้จะส่งช่างมาดำเนินการให้
-
ช่างฉุกเฉิน หากเกิดปัญหาอื่นๆ ที่ต้องการความช่วยเหลือเบื้องต้น เช่น แบตเตอรี่หมด ระบบไฟฟ้าขัดข้อง
โดยบริการเหล่านี้จะรวมอยู่ในแผนประกันบางประเภท หรืออาจมีให้เลือกเป็นบริการเสริม ดังนั้นก่อนทำประกัน ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่ามี Roadside Assistance รวมอยู่ด้วย และควรเก็บเบอร์ติดต่อฉุกเฉินของบริษัทประกันไว้ในรถหรือลงทะเบียนไว้ในแอปพลิเคชันที่ใช้ เพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างรวดเร็วในยามจำเป็น
ขับลุยน้ำท่วม! ต้องดูอะไรบ้างก่อนตัดสินใจไปต่อ
ก่อนตัดสินใจลุยน้ำท่วม ก็ควรจะต้องประเมินปัจจัยหลายอย่างก่อนจะทำการตัดสินใจลุยน้ำท่วม ไม่ว่าจะเป็นจะเป็นการเช็กระดับน้ำก่อนลุย ความแรงของกระแสน้ำ และประเภทของรถยนต์ที่มีความสูงของรถยนต์ที่แตกต่างกัน ก็มีผลให้ต่อการลุยน้ำด้วยเช่นกัน
และอย่าลืมว่าถ้าหากทำการลุยน้ำแล้วก็อย่าลืมที่จะทำการตรวจสอบ และเช็กส่วนต่างๆ ภายในรถว่ายังสามารถทำงานได้ตามปกติหรือไม่