ไฟตัดหมอก เรื่องต้องรู้ เปิดตอนไหนถึงปลอดภัย ไม่แยงตาและไม่ผิดกฎหมาย
หลายคนอาจเคยสงสัยว่าไฟตัดหมอกที่ติดมากับรถยนต์นั้นมีความจำเป็นจริง ๆ หรือไม่ และควรเปิดใช้งานในสถานการณ์ใดบ้าง การใช้งานไฟตัดหมอกอย่างถูกวิธีไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่ให้ปลอดภัยในสภาพอากาศเลวร้าย แต่ยังเกี่ยวข้องกับข้อกฎหมายบนท้องถนนอีกด้วย บทความนี้จาก SILKSPAN ประกันรถยนต์ออนไลน์ จะพาคุณไปทำความเข้าใจทุกเรื่องเกี่ยวกับไฟตัดหมอกรถยนต์ตั้งแต่ความสำคัญ วิธีการทำงานที่ถูกต้อง ไปจนถึงการใช้งานอย่างไรให้ปลอดภัย ไม่รบกวนเพื่อนร่วมทาง และไม่เสี่ยงโดนค่าปรับ
Key Takeaways
-
ไฟตัดหมอกคืออุปกรณ์ส่องสว่างที่ออกแบบมาเพื่อใช้ในสถานการณ์ที่ทัศนวิสัยแย่มาก เช่น ฝนตกหนัก หมอกลงจัด หรือมีควันหนา
-
การทำงานของไฟตัดหมอกหน้าจะส่องแสงเป็นลำกว้างและกดต่ำลงพื้นเพื่อลดการสะท้อนกลับของไอหมอกหรือละอองฝน ไม่ให้เข้ามารบกวนสายตาผู้ขับขี่
-
ควรเปิดใช้งานเมื่อทัศนวิสัยไม่ดีจริง ๆ เช่น ฝนตกหนัก มีหมอกหรือควันหนา และปิดทันทีเมื่อมีรถสวนมาในระยะใกล้ หรือสถานการณ์กลับสู่ปกติ
ไฟตัดหมอก คืออะไร
ไฟตัดหมอกคือไฟส่องสว่างดวงเล็ก ๆ ที่ถูกติดตั้งอยู่บริเวณใต้ชุดไฟหน้าของรถยนต์ โดยส่วนใหญ่มักเป็นออปชันเสริมที่ติดตั้งมากับรถยนต์รุ่นท็อป หรือสามารถติดไฟตัดหมอกเพิ่มเติมในภายหลังได้ จุดประสงค์หลักของมันไม่ใช่การส่องสว่างไปไกล ๆ เหมือนไฟหน้า แต่เป็นการส่องสว่างในระยะใกล้เพื่อให้ผู้ขับขี่มองเห็นพื้นผิวถนนและเส้นแบ่งเลนได้ชัดเจนขึ้นในสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย นอกจากนี้ รถยนต์บางรุ่นยังมีไฟตัดหมอกหลัง ซึ่งเป็นไฟสีแดงติดตั้งที่กันชนท้ายรถ เพื่อช่วยให้รถคันข้างหลังสามารถมองเห็นรถของคุณได้ชัดเจนขึ้นในสภาวะเดียวกัน
ทั้งนี้ หากรถยนต์ของคุณไม่มีไฟตัดหมอก สามารถหาวิธีติดตั้งไฟตัดหมอกด้วยตนเองได้ภายหลัง ไม่ว่าจะต้องการไฟตัดหมอก Civic FC, ไฟตัดหมอก Honda Access, ไฟตัดหมอก Toyota หรือไฟตัดหมอก Vios และการติดไฟตัดหมอกราคาก็จะแตกต่างกันไปสำหรับรถยนต์แต่ละคัน
ไฟตัดหมอก สำคัญยังไง

ไฟตัดหมอกถือเป็นอุปกรณ์ความปลอดภัยชิ้นสำคัญที่มีประโยชน์อย่างยิ่งในการเพิ่มทัศนวิสัยการขับขี่ โดยเฉพาะการขับรถกลางคืน หรือในสถานการณ์ที่ทัศนวิสัยแย่มาก ๆ
-
ไฟตัดหมอกหน้า ช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นพื้นถนนและวัตถุด้านหน้าในระยะใกล้ได้ดีขึ้น ท่ามกลางสายฝนหรือกลุ่มหมอกที่หนาทึบ แสงของไฟตัดหมอกจะส่องในแนวราบและกว้าง ทำให้เห็นเส้นถนนชัดเจนยิ่งขึ้น
-
ไฟตัดหมอกหลัง มีความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยให้รถที่ขับตามมาข้างหลังสามารถมองเห็นรถของคุณได้จากระยะไกลขึ้น ช่องป้องกันอุบัติเหตุถูกชนท้าย โดยเฉพาะเมื่อมีหมอกลงจัดหรือฝนตกหนักจนมองเห็นไฟท้ายปกติได้ไม่ชัดเจน
ไฟตัดหมอก ใช้ตอนไหน
แม้จะมีประโยชน์ แต่การเปิดไฟตัดหมอกพร่ำเพรื่อก็สร้างความรำคาญและเป็นอันตรายต่อผู้อื่นได้ ดังนั้นจึงควรเปิดใช้งานในสถานการณ์ที่จำเป็นจริง ๆ เท่านั้น ได้แก่
-
เมื่อฝนตกหนักมาก : ทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน จนที่ปัดน้ำฝนทำงานไม่ทัน ละอองฝนทำให้ทัศนวิสัยด้านหน้าพร่ามัว ควรเปิดไฟตัดหมอกเพื่อช่วยให้มองเห็นทางและให้รถคันอื่นเห็นรถของคุณชัดขึ้น
-
หลังฝนตกหนัก : โดยเฉพาะในเวลากลางคืน พื้นถนนที่เปียกน้ำจะสะท้อนแสงไฟจากรถที่สวนมาและไฟถนน ทำให้มองทางได้ยากขึ้น การเปิดไฟตัดหมอกจะช่วยลดแสงสะท้อนและทำให้เห็นพื้นผิวถนนได้ดีขึ้น
-
เมื่อมีหมอกลงจัด หรือควันไฟหนาทึบ : นี่คือสถานการณ์หลักที่ควรใช้ไฟตัดหมอก เพราะหมอกหรือควันจะบดบังทัศนวิสัยอย่างรุนแรง ทำให้การเปิดไฟสูงไม่ช่วยอะไร แถมยังทำให้แสงฟุ้งกระจายจนมองทางลำบากกว่าเดิม
-
ขับรถขึ้น–ลงเขา หรือเส้นทางภูเขาสูง : บริเวณเหล่านี้มักมีหมอกลงจัด การเปิดไฟตัดหมอกจะช่วยให้มองเห็นเส้นทางโค้งและรถที่อาจสวนมาได้ดีขึ้น
ไฟตัดหมอก ทำงานยังไง

หลักการทำงานของไฟตัดหมอกนั้นแตกต่างจากไฟหน้าปกติอย่างชัดเจน ระบบไฟตัดหมอกถูกออกแบบให้มีความสว่างสูงและเป็นไฟแบบสปอตไลต์ที่ส่องแสงขนานไปกับพื้นถนนในมุมต่ำ การส่องในลักษณะนี้มีเหตุผลสำคัญคือ
-
ลดการสะท้อนกลับ : ในสภาวะที่มีหมอกหรือฝนตกหนัก หากใช้ไฟสูง แสงไฟจะตกกระทบกับละอองน้ำหรือไอหมอกแล้วสะท้อนกลับเข้าตาผู้ขับขี่โดยตรง ทำให้เกิดเป็น “กำแพงสีขาว” บดบังทัศนวิสัยจนหมด แต่ลำแสงของไฟตัดหมอกที่ส่องต่ำจะลอดผ่านใต้กลุ่มหมอกไปกระทบพื้นถนน ทำให้มองเห็นเส้นทางได้ชัดขึ้น
-
ส่องสว่างในแนวกว้าง : ลำแสงของไฟตัดหมอกจะส่องสว่างในแนวกว้าง ช่วยให้ผู้ขับขี่เห็นขอบทางและเส้นจราจรในระยะใกล้ได้ชัดเจนขึ้น
ด้วยความสว่างที่สูงมากนี้เอง หากเปิดใช้ในสถานการณ์ปกติ แสงของไฟตัดหมอกจะไปแยงตารถที่ขับสวนมาหรือรถคันข้างหน้าอย่างรุนแรง จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมต้องใช้งานอย่างระมัดระวังและถูกกาลเทศะ
ไฟตัดหมอก ใช้ยังไงให้ถูกกฎหมาย
การเปิดไฟตัดหมอกพร่ำเพรื่อนั้นมีความผิดตามกฎหมาย พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ได้ระบุเงื่อนไขการใช้งานไว้อย่างชัดเจนว่า
-
สามารถเปิดใช้ได้ในกรณีที่รถวิ่งอยู่ในสภาวะที่มีหมอก ควัน หรือฝุ่นละออง จนเป็นอุปสรรคที่อาจทำให้เกิดอันตรายในการขับขี่
-
สามารถเปิดใช้ได้เมื่อไม่มีรถสวนมาในระยะของแสงไฟ (ประมาณ 150 เมตร)
-
หลอดไฟที่ใช้ต้องเป็นแสงสีขาวหรือสีเหลือง มีกำลังไฟไม่เกินดวงละ 55 วัตต์
หากมีการใช้งานไฟตัดหมอกนอกเหนือจากเงื่อนไขที่กำหนด จะมีโทษปรับไม่เกิน 500 บาท ดังนั้นจึงควรเปิดเมื่อจำเป็น และรีบปิดทันทีเมื่อสถานการณ์ดีขึ้นหรือมีรถสวนมา เพื่อความปลอดภัยของทุกชีวิตบนท้องถนน
ไฟตัดหมอก ใช้อย่างปลอดภัยและถูกวิธี
ไฟตัดหมอกเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้การขับขี่ปลอดภัยขึ้นในสภาพอากาศเลวร้าย แต่ก็เปรียบเสมือนดาบสองคมที่ต้องใช้งานอย่างเข้าใจและมีความรับผิดชอบต่อเพื่อนร่วมทาง การรู้ว่าควรเปิด–ปิดเมื่อไหร่คือหัวใจสำคัญของการใช้งานอุปกรณ์ชิ้นนี้ และนอกจากการมีอุปกรณ์ที่ดีแล้ว การมีประกันรถยนต์ที่ครอบคลุมก็เป็นอีกหนึ่งเกราะป้องกันสำคัญที่ช่วยให้คุณอุ่นใจได้ในทุกสถานการณ์ SILKSPAN พร้อมให้คำปรึกษาและเปรียบเทียบประกันที่ดีที่สุดสำหรับคุณ ไม่ว่าจะเป็นประกันรถยนต์ชั้น 1 ที่คุ้มครองครบครัน หรือแผนประกันอื่น ๆ อย่าง ประกันรถยนต์ 2+ และประกันรถยนต์ 3+ ที่เหมาะสมกับการใช้งานของคุณมากที่สุด
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
- Facebook : SILKSPAN
- Instagram : silkspan
- Line Official : @SILKSPAN
- X (twitter) : SILKSPAN
- Youtube : SILKSPAN
- TikTok : silkspan
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับไฟตัดหมอก
ไฟตัดหมอก เปิดตลอดได้ไหม
ไม่ได้ การเปิดไฟตัดหมอกตลอดเวลาหรือในสถานการณ์ปกติที่ทัศนวิสัยดี ถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย มีโทษปรับ และที่สำคัญคือแสงไฟจะรบกวนสายตาผู้ขับขี่คนอื่น ซึ่งอาจนำไปสู่อุบัติเหตุได้ ควรเปิดใช้เมื่อมีหมอกลงจัด ฝนตกหนัก หรือทัศนวิสัยไม่ดีจริง ๆ เท่านั้น
ไฟตัดหมอก เปิดใช้งานยังไง
สวิตช์เปิด–ปิดไฟตัดหมอกส่วนใหญ่มักจะอยู่บนก้านไฟเลี้ยวหรือก้านเดียวกับที่เปิดไฟหน้า โดยจะเป็นวงแหวนให้บิด หรือบางรุ่นอาจเป็นปุ่มกดแยกต่างหากบริเวณคอนโซลหน้ารถ สัญลักษณ์ของไฟตัดหมอกหน้าจะเป็นรูปดวงไฟพร้อมกับเส้นแสงที่ชี้ลงและมีเส้นหยักตัดผ่าน ส่วนไฟตัดหมอกหลังสัญลักษณ์จะคล้ายกันแต่เส้นแสงจะชี้ตรงไปในแนวราบ
ทำไมรถรุ่นใหม่ไม่มีไฟตัดหมอก
สำหรับรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ หลายรุ่น โดยเฉพาะรุ่นที่ใช้ไฟหน้าแบบ LED หรือ Matrix LED มักจะไม่มีไฟตัดหมอกแยกต่างหากมาให้ เนื่องจากเทคโนโลยีของไฟหน้าสมัยใหม่มีประสิทธิภาพสูง สามารถปรับรูปแบบการส่องสว่างให้เหมาะสมกับสภาพอากาศต่าง ๆ ได้โดยอัตโนมัติ เช่น มีโหมดสภาพอากาศเลวร้ายที่ทำงานได้เทียบเท่าหรือดีกว่าไฟตัดหมอกแบบดั้งเดิม ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีชุดไฟตัดหมอกแยกอีกต่อไป