
เกร็ดความรู้เกี่ยวกับ “ยางรถยนต์” ถ้าดอกยางสึก ควรใช้รถต่อไหม ?

อย่างคิดว่ายางรถยนต์เป็นสิ่งที่ไม่สำคัญ เพราะนี่คืออีกหนึ่งหัวใจหลักของการขับเคลื่อนของรถยนต์ ยางไม่ได้ช่วยแค่ให้รถแล่นไปข้างหน้าได้เท่านั้น แต่ยังมีคุณสมบัติพิเศษอีกมากมายที่คุณอาจยังไม่รู้มาก่อน บทความนี้ SILKSPAN อยากจะพาผู้อ่านทุกท่านไปรู้จักกับ “ดอกยางรถยนต์” ให้มากขึ้นกว่าเดิม มาดูกันว่าถ้าดอกยางสึก จะยังใช้ขับขี่ได้อยู่ไหม และเมื่อไหร่ที่ควรต้องเปลี่ยนยางรถยนต์ ทุกข้อสงสัยมาหาคำตอบไปพร้อม ๆ กันได้เลยในบทความนี้
ดอกยางรถคืออะไร ? สำคัญกับความปลอดภัยอย่างไร
เชื่อว่าทุกคนย่อมเคยสังเกตกันบ้าง ว่าบริเวณหน้าของยางรถยนต์จะมีลวดลายที่ดูแปลกตา แต่ละยี่ห้อก็จะมีลวดลายที่แตกต่างกันออกไป ลวดลายเหล่านั้นไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อความสวยงามแต่อย่างใด แต่มันคือ “ดอกยาง” ซึ่งเป็นร่องลึกบริเวณหน้าของยางรถยนต์ มาทำความรู้จักกับดอกยางรถยนต์ให้มากขึ้นในเนื้อหาต่อไปนี้
• ดอกยางรถมีหน้าที่อะไร
หน้าที่ของดอกยางคือการเพิ่มแรงยึดเกาะ ระหว่างที่รถกำลังเคลื่อนที่ ด้วยลักษณะของหน้ายางที่เหมือนถูกบากให้เป็นร่อง ซึ่งช่วยเพิ่มแรงเสียดทานระหว่างล้อกับพื้นถนนให้มากขึ้น และอีกหนึ่งหน้าที่สำคัญของยางคือการ “รีดน้ำ” ในเวลาที่ต้องขับผ่านในบริเวณที่มีน้ำขัง ดอกยางจะรีดให้น้ำออกไปด้านข้างของล้อ ช่วยลดโอกาสเกิดอาการเหินน้ำได้เป็นอย่างดี เท่านั้นยังไม่ในยางรถยนต์บางประเภท มีการออกแบบให้ดอกยางช่วยให้การขับขี่เงียบขึ้นได้อีกด้วย
• ดอกยางสึกหรือหมด ส่งผลอย่างไรกับการขับขี่
เคยมีการทดลองขององค์กร ADAC (Allgemeiner Deutscher Automobil Club) ของประเทศเยอรมนี เกี่ยวกับประสิทธิภาพการขับขี่ของ “ยางรถยนต์ใหม่” ที่ดอกยางยังเต็มอยู่ เทียบกับ “ยางรถยนต์เก่า” ที่ดอกยางสึกจนใกล้จะหมดแล้ว พบว่ายางเก่ามีระยะเบรกมากกว่ายางใหม่ ในการขับขี่ด้วยความเร็วเท่ากันถึง 11 เมตร และยังพบอีกว่า รถยนต์ลื่นไถลได้ง่ายถ้าเข้าโค้งด้วยความเร็ว แม้จะเป็นพื้นแห้งก็ตาม อีกหนึ่งปัญหาคือ ขับแล้วรู้สึกว่ารถกระด้าง ให้ประสบการณ์ขับขี่ที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก มีเสียงรบกวนขณะขับ และรถกินน้ำมันมากยิ่งขึ้น

สัญญาณเตือนว่าดอกยางรถหมดสภาพแล้ว
- เมื่อความหนาของดอกยางอยู่ในระดับเดียวกับ “สะพานยาง” ถือว่าเป็นช่วงที่ควรเปลี่ยนยางรถยนต์ใหม่แล้ว
- ยางเสื่อมสภาพ มีรอยแตกร้าวปรากฏชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของแก้มยาง หรือ หน้ายาง
- ยางมีรอยปูดบวม โป่งพอง ดูคล้าย ๆ กับอาการของคนหัวโดน
- มีเสียงดังผิดปกติระหว่างการขับขี่ หรือ รู้สึกว่ารถเกิดอาการสั่นแปลก ๆ กินซ้ายเกินไป กินขวาเกินไป
ขับรถต่อได้ไหม ? ถ้ายางรถหมดสภาพแล้ว
สำหรับข้อสงสัยนี้ เชื่อว่าทุกคนย่อมรู้คำตอบดีอยู่แล้ว การที่รถยนต์ของคุณ “ยางรถหมดสภาพ” ไปแล้ว เท่ากับว่ารถของคุณไม่พร้อมกับการขับขี่ จริงว่ารถจะยังสามารถขับเคลื่อนได้ แต่ก็เหมือนกับการพกระเบิดเวลาติดตัวไปไหนมาไหน ไม่รู้ว่ายางจะระเบิดเมื่อไหร่ ไม่รู้ว่ารถจะเสียหลักตอนไหน เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนมากยิ่งขึ้น มาดูกันเลยว่าถ้าใช้งานรถที่ยางเสื่อมสภาพไปแล้ว จะต้องลุ้นกับอะไรกันบ้าง
• ความเสี่ยงเมื่อใช้ยางที่ดอกสึกมาก
ทุก ๆ ครั้งที่เราขับขี่ ดอกยางก็จะค่อย ๆ สึกหรอไปทีละเล็กละน้อย ปัจจัยที่จะเร่งให้ยางสึกเร็วขึ้นก็อยู่ที่พื้นผิวของถนน และพฤติกรรมการขับขี่ของคุณด้วย หากเบรกล้อลากบ่อย ๆ ก็ยิ่งทำให้ดอกยางหมดเร็วขึ้น ตามมาตรฐานแล้วกำหนดให้ดอกยางอยู่ที่ 1.6 มม. ไม่ควรน้อยมากไปกว่านั้น เพราะจะทำให้การควบคุมรถทำได้ลำบากขึ้น เสี่ยงที่จะเกิดอาการเหินน้ำเวลาฝนตก ที่สำคัญคือเป็นสาเหตุของปัญหา “เปลืองน้ำมัน” โดยใช่เหตุ
• กฎหมายเกี่ยวกับยางรถที่ต้องรู้
มีข้อกฎหมายที่กล่าวถึง “ยางรถยนต์” อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น ยางรถสันดาป หรือ ยางรถไฟฟ้า ต้องอยู่ในสภาพที่ มั่นคง แข็งแรง และ ปลอดภัย หากตรวจพบว่ายางอยู่ในสภาพไม่ปลอดภัย ดอกยางสึก ยางบูดเบี้ยว หรือ มีสภาพที่ไม่พร้อมใช้งานแล้ว เจ้าหน้าที่สามารถสั่งห้ามใช้รถทันที พร้อมกับอาจถูกปรับได้สูงสุดที่ 500 บาท
• ขับรถในช่วงฝนตกหรือถนนลื่น ยิ่งอันตราย
เนื่องจากหน้าที่ของดอกยางส่วนหนึ่งคือการ “รีดน้ำ” เมื่อใช้งานยางมาสักระยะหนึ่ง จนถึงช่วงที่ดอกยางสึกหรอลงไปมาก ๆ จนใกล้เข้าสู่ช่วงที่เรียกว่า “ดอกยางหมด” ในช่วงนั้นประสิทธิภาพของการรีดน้ำจะทำได้น้อยมาก หากต้องขับขี่บนท้องถนนที่มีน้ำขัง มีโอกาสสูงมากที่จะเกิดอาการรถเหินน้ำ ซึ่งจะส่งผลให้รถควบคุมไม่ได้ในช่วงระยะหนึ่ง เสี่ยงต่อการประสบอุบัติเหตุร้ายแรงสูงมาก หากขับขี่มาด้วยความเร็ว
เช็กยางรถแล้ว อย่าลืมเช็คประกันรถด้วย
ในการขับขี่ถ้าอยากให้อุ่นใจ นอกจากเช็กว่าสภาพยางรถยนต์พร้อมสำหรับการขับบนท้องถนน ต้องอย่าลืมตรวจเช็คให้ดีว่า “ประกันภัยรถยนต์” ของคุณขาดหรือไม่ ? เนื่องจากประกันภัยรถยนต์เป็นหลักประกัน ทำหน้าที่เป็นเหมือนหลักประกัน ว่าคุณจะได้รับการคุ้มครองเมื่อประสบอุบัติเหตุบนท้องถนน สามารถเลือกความคุ้มครองได้หลายแบบ หากอยากได้ความคุ้มครองสูงสุดก็ต้องเลือกประกันชั้น 1 ,ประกันชั้น 2+ ,ประกันชั้น 3+ หรือ ถ้าอยากได้ความคุ้มครองที่ลดหลั่นลงมา อาจจะต้องปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญของ SILKSPAN ซึ่งแน่นอนว่าติดต่อได้ทุกเมื่อที่คุณต้องการ
บทส่งท้าย ย่ามองข้าม “ดอกยาง” เล็ก ๆ ที่มีผลใหญ่ต่อความปลอดภัย
สำหรับผู้ที่ใช้รถเป็นประจำอาจไม่ประสบปัญหาสักเท่าไหร่ แต่สำหรับรถยนต์ที่จอดเอาไว้นาน ๆ มีโอกาสสูงกว่าที่ยางรถหมดสภาพได้มากขึ้น แต่ถ้าใครที่ต้องใช้รถเป็นประจำในทุก ๆ วัน ก็มักจะเผชิญกับปัญหาดอกยางหมด ไม่ว่าจะเป็นอาการไหนถ้าคุณเริ่มรู้สึกว่า “ยางเสื่อมสภาพ” ควรเข้ารับการเปลี่ยนยางในทันที โดยเฉลี่ยแล้วก็ควรต้องเปลี่ยนยางรถยนต์ในระยะเวลา 3 ถึง 5 ปี ขึ้นอยู่กับการใช้รถของคุณว่าหนักหน่วงแค่ไหน ขอย้ำอีกครั้งก่อนจากกันว่า ห้ามฝืนขับขี่ทั้ง ๆ ที่ยางหมดสภาพโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะในช่วงที่ฝนตกหนัก