เบี้ยดีโดนใจ ประกันภัยชั้น 1 เบี้ยเริ่ม 750 บาท/เดือน พิเศษรับส่วนลดสูงสุด 30% เช็กเบี้ยที่นี่ กับ SILKSPAN

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับ “ยางรถยนต์” ถ้าดอกยางสึก ควรใช้รถต่อไหม ?


ดอกยางรถเหลือน้อย ยางรถหมดสภาพ ขับต่อได้ไหม

อย่างคิดว่ายางรถยนต์เป็นสิ่งที่ไม่สำคัญ เพราะนี่คืออีกหนึ่งหัวใจหลักของการขับเคลื่อนของรถยนต์ ยางไม่ได้ช่วยแค่ให้รถแล่นไปข้างหน้าได้เท่านั้น แต่ยังมีคุณสมบัติพิเศษอีกมากมายที่คุณอาจยังไม่รู้มาก่อน บทความนี้ SILKSPAN อยากจะพาผู้อ่านทุกท่านไปรู้จักกับ “ดอกยางรถยนต์” ให้มากขึ้นกว่าเดิม มาดูกันว่าถ้าดอกยางสึก จะยังใช้ขับขี่ได้อยู่ไหม และเมื่อไหร่ที่ควรต้องเปลี่ยนยางรถยนต์ ทุกข้อสงสัยมาหาคำตอบไปพร้อม ๆ กันได้เลยในบทความนี้


ดอกยางรถคืออะไร ? สำคัญกับความปลอดภัยอย่างไร

เชื่อว่าทุกคนย่อมเคยสังเกตกันบ้าง ว่าบริเวณหน้าของยางรถยนต์จะมีลวดลายที่ดูแปลกตา แต่ละยี่ห้อก็จะมีลวดลายที่แตกต่างกันออกไป ลวดลายเหล่านั้นไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อความสวยงามแต่อย่างใด แต่มันคือ “ดอกยาง” ซึ่งเป็นร่องลึกบริเวณหน้าของยางรถยนต์ มาทำความรู้จักกับดอกยางรถยนต์ให้มากขึ้นในเนื้อหาต่อไปนี้

• ดอกยางรถมีหน้าที่อะไร

หน้าที่ของดอกยางคือการเพิ่มแรงยึดเกาะ ระหว่างที่รถกำลังเคลื่อนที่ ด้วยลักษณะของหน้ายางที่เหมือนถูกบากให้เป็นร่อง ซึ่งช่วยเพิ่มแรงเสียดทานระหว่างล้อกับพื้นถนนให้มากขึ้น และอีกหนึ่งหน้าที่สำคัญของยางคือการ “รีดน้ำ” ในเวลาที่ต้องขับผ่านในบริเวณที่มีน้ำขัง ดอกยางจะรีดให้น้ำออกไปด้านข้างของล้อ ช่วยลดโอกาสเกิดอาการเหินน้ำได้เป็นอย่างดี เท่านั้นยังไม่ในยางรถยนต์บางประเภท มีการออกแบบให้ดอกยางช่วยให้การขับขี่เงียบขึ้นได้อีกด้วย

• ดอกยางสึกหรือหมด ส่งผลอย่างไรกับการขับขี่

เคยมีการทดลองขององค์กร ADAC (Allgemeiner Deutscher Automobil Club) ของประเทศเยอรมนี เกี่ยวกับประสิทธิภาพการขับขี่ของ “ยางรถยนต์ใหม่” ที่ดอกยางยังเต็มอยู่ เทียบกับ “ยางรถยนต์เก่า” ที่ดอกยางสึกจนใกล้จะหมดแล้ว พบว่ายางเก่ามีระยะเบรกมากกว่ายางใหม่ ในการขับขี่ด้วยความเร็วเท่ากันถึง 11 เมตร และยังพบอีกว่า รถยนต์ลื่นไถลได้ง่ายถ้าเข้าโค้งด้วยความเร็ว แม้จะเป็นพื้นแห้งก็ตาม อีกหนึ่งปัญหาคือ ขับแล้วรู้สึกว่ารถกระด้าง ให้ประสบการณ์ขับขี่ที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก มีเสียงรบกวนขณะขับ และรถกินน้ำมันมากยิ่งขึ้น


ดอกยางรถยนต์ สึกหรือไหม เช็กได้จากอะไร?

หลังจากผ่านการใช้งานเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว ดอกยาง และยางรถยนต์ก็อาจจะเกิดการเสื่อมคุณภาพ ที่อาจจะส่งผลให้สมรรถภาพการทำงาน และการยึดเกาะกับพื้นถนนลดลง การเช็กว่าดอกยางรถยนยต์สึกไปมากน้อยแค่ไหนแล้ว ก็มี 4 วิธีที่สามารถเช็กเองได้ง่ายๆ ดังนี้

1.การเช็กสะพานยาง

เช็กสภาพดอกยาง สังเกตสัญลักษณ์

สามารถมองหาสัญลักษณ์เล็กๆ รูปสามเหลี่ยม (หรือเป็นลักษณ์อื่นๆ )ที่จะเป็นจุดบอกตำแหน่งของสะพานยาง ถ้าเช็กตรงตำแหน่งสะพานยางแล้วพบว่าหากดอกยางสึกไปเทียบเท่าสะพานยางแล้ว = ยางรถยนต์ถูกใช้งานไปแล้วกว่า 80% = สามารถเปลี่ยนยางได้เลย หากดอกยางสึกไปเทียบเท่าสัญลักษณ์สามเหลี่ยม = ดอกยางถูกใช้งานหมดแล้ว = อันตรายในขณะขับขี่ ควรเปลี่ยนดอกยางด่วน

2.เช็กด้วยเหรียญบาท

เช็กสภาพดอกยาง สังเกตเหรียญ

เป็นวิธีการเช็กดอกยางรถยนต์ได้ง่าย ที่ใครๆก็ทำได้ เพียงนำเหรียญบาทมาวางในระหว่างช่องของดอกยาง และสังเกตความสูงของดอกยาง เทียบกับตัวเหรียญ หากดอกยางอยู่ต่ำกว่า 1/3 ของเหรียญบาทก็แปลว่าดอกยางของรถคุณเหลือน้อยแล้ว สามารถนำรถยนต์ไปเปลี่ยนยางรถยนต์ได้เลย

3.เช็กด้วยไม้บรรทัด

เช็กสภาพดอกยาง สังเกตไม้บรรทัด

การใช้ไม้บรรทัดเพื่อวัดสภาพของดอกยางก็เป็นอีกวิธีนึงที่ง่ายต่อการเช็ก เพียงแค่นำไม้บรรทัดเสียบแบบตั้งฉากตรงกับล้อรถ เพื่อสังเกตความสูงของดอกยาง หากอยู่ในความสูง 3-4 มิลลิเมตรเป็นต้นไป ถือว่าดอกยางยังใช้งานได้ แต่ถ้า ระดับความสูงของดอกยางอยู่ต่ำกว่า 2 มิลลิเมตร แปลว่าดอกยางเริ่มเสื่อมสภาพแล้ว ควรนำเข้าศูนย์ และทำการเปลี่ยนยางเส้นใหม่

4.เช็กจากเสียง ลักษณะ และอาการของยางในขณะขับขี่

เช็กสภาพดอกยาง ฟังจากเสียง

การสังเกตล้อรถยนต์ในขณะที่ทำการขับขี่ ก็เป็นอีกสิ่งที่ผู้ขับขี่สามารถทำได้เช่นกัน ด้วยการสังเกตเสียงของยางในขณะขับขี่ หรือเลี้ยว หรืออาการอื่นๆ เช่นรถส่าย หรือดึงไปด้านใดด้านหนึ่ง ก็สามารถเป็นสัญญาณเตือนว่าดอกยางรถยนต์ใกล้จะหมดสภาพ ควรนำเข้าเช็กที่ศูนย์เพื่อความปลอดภัย


 

ให้ประกันรถคุ้มครองทุกการเดินทาง ผ่อนประกันรถชั้น 1 0% ที่ SILKSPAN


สัญญาณเตือนว่าดอกยางรถหมดสภาพแล้ว

  • เมื่อความหนาของดอกยางอยู่ในระดับเดียวกับ “สะพานยาง” ถือว่าเป็นช่วงที่ควรเปลี่ยนยางรถยนต์ใหม่แล้ว
  • ยางเสื่อมสภาพ มีรอยแตกร้าวปรากฏชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของแก้มยาง หรือ หน้ายาง
  • ยางมีรอยปูดบวม โป่งพอง ดูคล้าย ๆ กับอาการของคนหัวโดน
  • มีเสียงดังผิดปกติระหว่างการขับขี่ หรือ รู้สึกว่ารถเกิดอาการสั่นแปลก ๆ กินซ้ายเกินไป กินขวาเกินไป

ขับรถต่อได้ไหม ? ถ้ายางรถหมดสภาพแล้ว

สำหรับข้อสงสัยนี้ เชื่อว่าทุกคนย่อมรู้คำตอบดีอยู่แล้ว การที่รถยนต์ของคุณ “ยางรถหมดสภาพ” ไปแล้ว เท่ากับว่ารถของคุณไม่พร้อมกับการขับขี่ จริงว่ารถจะยังสามารถขับเคลื่อนได้ แต่ก็เหมือนกับการพกระเบิดเวลาติดตัวไปไหนมาไหน ไม่รู้ว่ายางจะระเบิดเมื่อไหร่ ไม่รู้ว่ารถจะเสียหลักตอนไหน เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนมากยิ่งขึ้น มาดูกันเลยว่าถ้าใช้งานรถที่ยางเสื่อมสภาพไปแล้ว จะต้องลุ้นกับอะไรกันบ้าง

• ความเสี่ยงเมื่อใช้ยางที่ดอกสึกมาก

ทุก ๆ ครั้งที่เราขับขี่ ดอกยางก็จะค่อย ๆ สึกหรอไปทีละเล็กละน้อย ปัจจัยที่จะเร่งให้ยางสึกเร็วขึ้นก็อยู่ที่พื้นผิวของถนน และพฤติกรรมการขับขี่ของคุณด้วย หากเบรกล้อลากบ่อย ๆ ก็ยิ่งทำให้ดอกยางหมดเร็วขึ้น ตามมาตรฐานแล้วกำหนดให้ดอกยางอยู่ที่ 1.6 มม. ไม่ควรน้อยมากไปกว่านั้น เพราะจะทำให้การควบคุมรถทำได้ลำบากขึ้น เสี่ยงที่จะเกิดอาการเหินน้ำเวลาฝนตก ที่สำคัญคือเป็นสาเหตุของปัญหา “เปลืองน้ำมัน” โดยใช่เหตุ

• กฎหมายเกี่ยวกับยางรถที่ต้องรู้

มีข้อกฎหมายที่กล่าวถึง “ยางรถยนต์” อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น ยางรถสันดาป หรือ ยางรถไฟฟ้า ต้องอยู่ในสภาพที่ มั่นคง แข็งแรง และ ปลอดภัย หากตรวจพบว่ายางอยู่ในสภาพไม่ปลอดภัย ดอกยางสึก ยางบูดเบี้ยว หรือ มีสภาพที่ไม่พร้อมใช้งานแล้ว เจ้าหน้าที่สามารถสั่งห้ามใช้รถทันที พร้อมกับอาจถูกปรับได้สูงสุดที่ 500 บาท

• ขับรถในช่วงฝนตกหรือถนนลื่น ยิ่งอันตราย

เนื่องจากหน้าที่ของดอกยางส่วนหนึ่งคือการ “รีดน้ำ” เมื่อใช้งานยางมาสักระยะหนึ่ง จนถึงช่วงที่ดอกยางสึกหรอลงไปมาก ๆ จนใกล้เข้าสู่ช่วงที่เรียกว่า “ดอกยางหมด” ในช่วงนั้นประสิทธิภาพของการรีดน้ำจะทำได้น้อยมาก หากต้องขับขี่บนท้องถนนที่มีน้ำขัง มีโอกาสสูงมากที่จะเกิดอาการรถเหินน้ำ ซึ่งจะส่งผลให้รถควบคุมไม่ได้ในช่วงระยะหนึ่ง เสี่ยงต่อการประสบอุบัติเหตุร้ายแรงสูงมาก หากขับขี่มาด้วยความเร็ว


เช็กยางรถแล้ว อย่าลืมเช็คประกันรถด้วย

เช็กยางรถแล้ว อย่าลืมเช็คประกันรถด้วย

ในการขับขี่ถ้าอยากให้อุ่นใจ นอกจากเช็กว่าสภาพยางรถยนต์พร้อมสำหรับการขับบนท้องถนน ต้องอย่าลืมตรวจเช็คให้ดีว่า “ประกันภัยรถยนต์” ของคุณขาดหรือไม่ ? เนื่องจากประกันภัยรถยนต์เป็นหลักประกัน ทำหน้าที่เป็นเหมือนหลักประกัน ว่าคุณจะได้รับการคุ้มครองเมื่อประสบอุบัติเหตุบนท้องถนน สามารถเลือกความคุ้มครองได้หลายแบบ หากอยากได้ความคุ้มครองสูงสุดก็ต้องเลือกประกันชั้น 1 ,ประกันชั้น 2+ ,ประกันชั้น 3+ หรือ ถ้าอยากได้ความคุ้มครองที่ลดหลั่นลงมา อาจจะต้องปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญของ SILKSPAN ซึ่งแน่นอนว่าติดต่อได้ทุกเมื่อที่คุณต้องการ


บทส่งท้าย ย่ามองข้าม ดอกยางเล็ก ๆ ที่มีผลใหญ่ต่อความปลอดภัย

สำหรับผู้ที่ใช้รถเป็นประจำอาจไม่ประสบปัญหาสักเท่าไหร่ แต่สำหรับรถยนต์ที่จอดเอาไว้นาน ๆ มีโอกาสสูงกว่าที่ยางรถหมดสภาพได้มากขึ้น แต่ถ้าใครที่ต้องใช้รถเป็นประจำในทุก ๆ วัน ก็มักจะเผชิญกับปัญหาดอกยางหมด ไม่ว่าจะเป็นอาการไหนถ้าคุณเริ่มรู้สึกว่า “ยางเสื่อมสภาพ” ควรเข้ารับการเปลี่ยนยางในทันที โดยเฉลี่ยแล้วก็ควรต้องเปลี่ยนยางรถยนต์ในระยะเวลา 3 ถึง 5 ปี ขึ้นอยู่กับการใช้รถของคุณว่าหนักหน่วงแค่ไหน ขอย้ำอีกครั้งก่อนจากกันว่า ห้ามฝืนขับขี่ทั้ง ๆ ที่ยางหมดสภาพโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะในช่วงที่ฝนตกหนัก


เขียนโดย : SILKSPAN ADVISOR
เผยแพร่วันที่ : 01/08/2025
รับข้อเสนอพิเศษ

จองสิทธิ์ประกันรถยนต์

ประกันรถยนต์ รับส่วนลดสูงสุด 30% กว่า 20 บริษัทชั้นนำ

  1. ต่ออายุล่วงหน้า รับส่วนลดเพิ่ม สูงสุดกว่า 500 บาท
  2. ผ่อนบัตรเครดิต ผ่อนเงินสด ได้สูงสุด 10 เดือน
  3. ฟรีบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชม.
  4. ฟรีรถใช้ระหว่างซ่อม หรือ เบิกค่าเดินทาง 1,000 บาท

กรอกข้อมูล เพื่อ “รับข้อเสนอพิเศษ” ต่อประกันรถยนต์

taff-call
“เช็คเบี้ยประกันรถฟรี 24 ชม.”
line

กำลังโหลด