
จะทำอย่างไรดี ? เมื่อแอร์รถมีกลิ่นอับ มีสาเหตุจากอะไร แก้ไขได้อย่างไรบ้าง

เคยเจอปัญหานี้กันบ้างไหม ? ขึ้นรถมาสตาร์ทเครื่องพร้อมออกเดินทาง แต่พอเปิดแอร์กะให้รถเย็นฉ่ำ แต่กลับพบว่า “แอร์รถมีกลิ่นอับ” ปัญหากลิ่นไม่พึงประสงค์ที่ออกมาจากแอร์รถยนต์ ไม่ใช่เรื่องที่จะมองข้ามกันไปได้ เพราะนอกจากความไม่สบายใจที่เกิดขึ้นจากกลิ่น ยังอาจตามมาพร้อมกับปัญหาสุขภาพกับผู้โดยสารในตัวรถอีกด้วย บทความนี้เราจะพาคุณไปเผชิญหน้ากับปัญหานี้ไปพร้อม ๆ กัน พร้อมแนะนำแนวทางการรับมือ เมื่อแอร์รถยนต์มีกลิ่นเหม็นอับ เนื้อหาจะน่าสนใจเพียงใด เชิญรับชมได้เลย !
ปัญหาแอร์รถมีกลิ่นอับเกิดจากอะไรได้บ้าง ?
แน่นอนว่าเราควรต้องเริ่มต้นที่ต้นตอของปัญหาแอร์รถมีกลิ่นอับกันเสียก่อน ซึ่งปัญหาหลักมักจะเกิดจาก “ความชื้นสะสม” ที่อยู่ภายในระบบปรับอากาศ โดยที่มาของความชื้นนั้นก็เกิดได้จากหลายสาเหตุ มาลองดูกันว่าเกิดจากอะไรได้บ้าง ? และ กลิ่นอับในรถส่งผลเสียต่อสุขภาพหรือไม่ ?
-
แอร์รถยนต์เหม็น กลิ่นเปรี้ยว กลิ่นชื้น กลิ่นอับ เกิดจากอะไร ?
ตามที่เรากล่าวไปข้างต้น ว่าสาเหตุหลักของปัญหาแอร์รถเหม็นอับนั้นเกิดมาจาก “ความชื้น” ซึ่งปกติแล้วในระบบปรับอากาศก็จะมีความชื้นเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าอยู่ ๆ ก็มีกลิ่นเปรี้ยว เหม็นอับ ขึ้นมา เป็นสัญญาณที่บอกให้เรารู้ว่า ในระบบปรับอากาศรถยนต์ตอนนี้มี เชื้อรา และ แบคทีเรีย ที่กำลังเติบโตอยู่
-
แอร์รถเหม็นอับ ส่งผลต่อสุขภาพอย่างไร ?
เมื่อแอร์รถมีกลิ่นอับควรรีบแก้ไขโดยเร็วที่สุด เนื่องจากสาเหตุของกลิ่นไม่พึงประสงค์คือ “เชื้อรา” และ “แบคทีเรีย” หากปล่อยปละละเลย จะทำให้อากาศเชื้อราและแบคทีเรียลอยฟุ้งอยู่ในรถ ผู้โดยสารก็จะเสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรคที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจ เช่น ภูมิแพ้ ไซนัส หอบหืด หรือ อาจเกิดการระคายเคืองตามร่างกายได้
5 สาเหตุหลักที่ทำให้แอร์รถมีกลิ่นไม่พึงประสงค์
สาเหตุหลักของปัญหาแอร์รถมีกลิ่นอับเกินกว่า 90% จะเกิดจากปัญหาความชื้นของระบบปรับอากาศ แต่ถ้าให้เรามองหาสาเหตุที่ทำให้เกิดความชื้น จนเป็นที่มาของกลิ่นอันไม่พึงประสงค์นั้น เราสามารถแบ่งเป็นสาเหตุยิบย่อยได้อีกมากมาย เช่น 5 สาเหตุดังต่อไปนี้
1. กลิ่นอับจากความชื้นในตู้แอร์
บริเวณ “ตู้แอร์” เป็นอุปกรณ์แลกเปลี่ยนความร้อน ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้เกิดอากาศเย็นภายในรถ หากในส่วนนี้มีหยดน้ำควบแน่นเกิดขึ้น และไม่สามารถระบายความชื้นได้อย่างเหมาะสม ก็จะเป็นแหล่งสะสมของ เชื้อรา และ แบคทีเรีย ซึ่งเป็นที่มาของปัญหาแอร์รถยนต์มีกลิ่นอับนั่นเอง
2. แอร์รถยนต์เหม็น เพราะกรองแอร์สกปรก
“ไส้กรองแอร์” ซึ่งทำหน้าที่ป้องกันฝุ่น กลิ่นไม่พึงประสงค์ หรือ สิ่งแปลกปลอมจากภายนอกไม่ให้เข้ามาสู่ห้องโดยสาร หากไส้กรอกแอร์สกปรกหรืออุดตัน ก็จะทำให้ระบบแอร์รถเหม็นอับ และยังทำให้แอร์ไม่เย็นอีกด้วย โดยไส้กรองแอร์ควรจะเปลี่ยนทุก 10,000 กิโลเมตร หรือทุก 6 เดือน
3. ท่อน้ำแอร์อุดตัน ทำให้เกิดกลิ่นอับชื้น
ตามปกติแล้วระบบแอร์ของรถยนต์ จะมีการระบายน้ำที่เกิดจากกระบวนการทำความเย็นอยู่เสมอ ซึ่งเราจะเห็นหยดบนพื้นในบริเวณที่เราจอดรถ หากเกิดปัญหาแอร์รถมีกลิ่นอับ แล้วพบว่าไม่มีรอยหยดน้ำอย่างที่เคยเห็น โอกาสที่ “ท่อน้ำแอร์อุดตัน” ก็ค่อนข้างสูง เนื่องจากน้ำแอร์ไม่มีทางระบาย
4. เชื้อรา แบคทีเรียสะสมในระบบแอร์
หากคุณใช้รถอยู่เป็นประจำ แต่ไม่ได้นำรถเข้าไปรับการดูแลตามระยะเวลาที่กำหนด ก็จะทำให้ภายในระบบระบายอากาศ เป็นบ้านอันแสนสุขของเหล่า “เชื้อรา” และ “แบคทีเรีย” ซึ่งจะทำให้แอร์รถเหม็นอับ เหม็นเปรี้ยว ทางแก้คือการต้องนำรถไปล้างแอร์อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
5. กลิ่นจากภายนอกปะปน เช่น ควันบุหรี่ อาหาร
ในบางครั้งกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่มากับแอร์รถยนต์ ก็เกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น จอดใกล้กับท่อที่มีกลิ่นเหม็น จอดใกล้กับกลุ่มคนที่สูบบุหรี่ จอดใกล้กับร้านอาหารที่มีกลิ่นแรง เป็นต้น เนื่องจากระบบปรับอากาศของรถยนต์ จะใช้การดูดอากาศจากภายนอก มาใช้หมุนเวียนภายในห้องโดยสาร เลยอาจทำให้มีกลิ่นจากภายนอกติดเข้ามาได้

วิธีแก้ไขแอร์รถมีกลิ่นอับ ให้กลับมาหอมสดชื่น
เมื่อได้เข้าใจถึงสาเหตุของปัญหา “แอร์รถมีกลิ่นอับ” ก็น่าจะพอเข้าใจแล้วว่า ควรทำอย่างไรไม่ให้รถยนต์คันโปรด ต้องเผชิญกับปัญหากลิ่นไม่พึงประสงค์ที่มากับแอร์ แต่ถ้าปัญหานั้นเกิดขึ้นมาแล้วล่ะ ! จะทำอย่างไรดี ? ในส่วนนี้ก็ไม่ต้องเป็นห่วง เรามีวิธีแก้ไขปัญหามาฝาก ดังนี้
-
ล้างแอร์รถยนต์ ทำความสะอาดตู้แอร์
การล้างแอร์รถยนต์เป็นวิธีรับมือกับปัญหาแอร์รถมีกลิ่นอับที่ตรงจุดที่สุด ซึ่งที่จริงแล้วไม่จำเป็นต้องรอให้แอร์รถยนต์มีกลิ่นอับแล้วค่อยล้าง ให้เลือกล้างในช่วงเวลาที่สะดวกได้เลย ประมาณ 1 ครั้งต่อปี แต่ถ้าใช้รถบ่อยในบริเวณที่มีฝุ่น PM 2.5 เยอะเป็นพิเศษ อาจต้องเพิ่มเป็น 2 ครั้งต่อปี
-
เปลี่ยนไส้กรองแอร์รถยนต์เป็นประจำ
เนื่องจากบริเวณไส้กรองแอร์รถยนต์ ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของปัญหาแอร์รถเหม็น เพราะฉะนั้นควรต้องเปลี่ยนไส้กรอกแอร์เป็นประจำ ทุก ๆ การใช้งานครบ 10,000 กิโลเมตร ซึ่งจะเป็นระยะเวลาที่ต้องนำรถเข้ารับการตรวจสภาพพอดี หรือถ้าเริ่มรู้สึกว่า แอร์มีกลิ่นอับ หรือ แอร์ไม่เย็นฉ่ำ ก็สามารถเปลี่ยนก่อนถึงเวลาได้เช่นกัน
-
ใช้สเปรย์ฆ่าเชื้อหรือฟอกอากาศในรถ
อาจดูเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุไปสักหน่อย แต่ก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีจัดการกับปัญหาแอร์รถมีกลิ่นอับที่เห็นผลได้ดี และที่สำคัญยังเห็นผลแทบจะทันทีอีกด้วย อาจใช้สำหรับแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน แล้วเมื่อไหร่ที่มีเวลาว่าง ค่อยไปจัดการกับต้นเหตุของปัญหาที่แท้จริง
-
หมั่นเปิดกระจกให้ลมไล่กลิ่นอับหลังใช้งาน
จะบอกว่าเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาก็คงบอกได้ไม่เต็มปาก เพราะการเปิดกระจกไล่กลิ่นอับหลังใช้งาน ดูเหมือนจะเป็นวิธีการป้องกันปัญหากลิ่นไม่พึงประสงค์ในระบบแอร์รถยนต์เสียมากกว่า โดยหลังจากจอดรถแล้วก่อนจะดับเครื่อง ให้เปิดกระจกเพื่อระบายอากาศ จากนั้นเปิดพัดลมแอร์เพื่อไล่ความชื้นออกสักประมาณ 3 นาที
เมื่อไหร่ควรซ่อมแอร์รถยนต์ ?
การที่แอร์รถมีกลิ่นอับ เป็นสัญญาณเตือนแล้วว่า ตอนนี้แอร์รถยนต์ของเรากำลังจะมีปัญหา หากใช้วิธีการจัดการเบื้องต้น อย่างเช่น เปิดหน้าต่างระบายกลิ่น หรือ ใช้น้ำยาฟอกอากาศภายในรถ แล้วยังรู้สึกว่ากลิ่นยังไม่หายไป คุณอาจต้องรีบเปิด Google ขึ้นมา แล้วค้นหาคำว่า “ซ่อมแอร์รถยนต์ใกล้ฉัน” เพราะถึงเวลาแล้วที่คุณควรต้องนำรถเข้ารับการดูแลด้วยฝีมือของผู้เชี่ยวชาญ มาดูกันว่าในการนำรถเข้าซ่อมแอร์ มีเรื่องอะไรที่ควรรู้กันบ้าง
-
อาการที่ควรรีบเข้ารับบริการซ่อมแอร์รถยนต์
ถ้าแอร์รถยนต์มีกลิ่นอับรุนแรง แก้ไขยังไงก็ไม่หาย ทำให้รบกวนระหว่างการโดยสาร รวมถึงอาจมีปัญหาอื่น ๆ ร่วมด้วย อาทิเช่น แอร์ไม่ฉ่ำ มีเสียงดังจากระบบแอร์ หรือ มีน้ำหยดในบริเวณช่องแอร์ กรณีนี้ควรนำรถเข้ารับการซ่อมแอร์รถยนต์โดยเร็ว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นบานปลาย
-
เลือกศูนย์ซ่อมแอร์รถยนต์ใกล้ฉันแบบไหนดี ?
การเลือกอู่สำหรับการซ่อมแอร์รถยนต์ หากไม่มีอู่ประจำตัวอยู่แล้ว อาจจะต้องอาศัยการหาข้อมูลเพิ่มเติมสักหน่อย พยายามเลือกอู่ที่มีความน่าเชื่อถือ ตรวจสอบได้จากการรีวิวบนอินเทอร์เน็ต หรือถ้าจะให้ดีที่สุด ก็นำรถเข้ารับการดูแลที่ศูนย์บริการของรถยี่ห้อนั้น ๆ ซึ่งจะมีราคาสูงกว่าอู่ทั่วไปเล็กน้อย
บทส่งท้าย
ปัญหาแอร์รถมีกลิ่นอับเป็นสิ่งที่เกิดได้กับรถยนต์ทุกคัน ไม่เว้นแม้แต่รถใหม่ที่เพิ่งใช้งานได้ไม่นาน เมื่อปัญหาเกิดขึ้นแล้วก็ควรจัดการให้เรียบร้อย อย่าไปทนใช้งานต่อไปเพราะคิดว่า อาศัยการฉีดน้ำหอมในรถก็เพียงพอแล้ว ควรจัดการซ่อมแอร์รถยนต์เพื่อกำหนดปัญหาที่ต้นเหตุ เนื่องจากจะส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้โดยสารได้ สำหรับบทความนี้ก็จบลงแล้ว มาลุ้นกันว่าบทความต่อไป จะเป็นเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับอะไร และอย่าลืมว่า คิดถึงประกันภัยรถยนต์เมื่อไหร่ ให้นึกถึง SILKSPAN สนใจซื้อประกันภัยรถยนต์ล่วงหน้า ติดต่อได้เลยวันนี้ !