
รถมือสอง ต้องต่อภาษีรถยนต์แบบไหน?

การซื้อรถมือสองนอกจากจะคำนึงถึงสภาพรถและราคาที่เหมาะสมแล้ว อีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่เจ้าของใหม่ไม่ควรมองข้ามคือการต่อภาษีรถยนต์ เพราะภาษีรถยนต์ไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย แต่ยังเป็นตัวบ่งบอกว่ารถคันนั้นอยู่ในสภาพใช้งานปกติ และไม่ผิดกฎหมายในการขับขี่บนท้องถนน บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจว่าหากคุณเป็นเจ้าของรถมือสอง ต้องต่อภาษีรถอย่างไร พร้อมขั้นตอนที่ถูกต้อง
ซื้อรถมือสอง ต้องรู้! เรื่องภาษีรถยนต์สำคัญแค่ไหน?
สำหรับผู้ที่ซื้อรถมือสองมาใช้งาน การต่อภาษีรถยนต์ถือเป็นหน้าที่ตามกฎหมายที่เจ้าของใหม่ต้องดำเนินการให้ถูกต้องและต้องต่อภาษีรถยนต์ให้ตรงเวลา โดยเฉพาะในกรณีที่ยังไม่ได้ดำเนินการเปลี่ยนชื่อเจ้าของในเล่มทะเบียน การเพิกเฉยหรือละเลยไม่ต่อภาษี อาจนำไปสู่ปัญหาทางกฎหมาย ค่าปรับ และการใช้งานรถที่ผิดกฎหมายได้
นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบในกรณีที่ต้องต่อประกันภัย พ.ร.บ. หรือต้องโอนกรรมสิทธิ์ในอนาคต เนื่องจากสถานะของรถสามารถถูกตรวจสอบย้อนหลังได้ตลอดเวลา
ภาษีรถยนต์คืออะไร? ทำไมต้องต่อทุกปี
ภาษีรถยนต์ คือ ค่าธรรมเนียมรายปีที่ผู้ครอบครองรถต้องชำระให้กรมการขนส่งทางบก เพื่อให้รถคันนั้นสามารถใช้งานได้อย่างถูกกฎหมาย โดยการคำนวณภาษีจะขึ้นอยู่กับประเภทของรถ น้ำหนักของรถ และปีจดทะเบียน หากไม่ต่อภาษีรถภายในระยะเวลาที่กำหนด จะต้องเสียค่าปรับเพิ่มเติม และอาจมีผลให้ทะเบียนรถถูกระงับได้
ถ้ายังไม่เปลี่ยนชื่อเจ้าของ ต่อภาษีรถได้ไหม?
แม้ว่าคุณจะยังไม่ได้ดำเนินการเปลี่ยนชื่อเป็นเจ้าของในเล่มทะเบียน ก็ยังสามารถต่อภาษีรถยนต์ได้ตามปกติ โดยใช้ชื่อเจ้าของเดิมในการดำเนินการ แต่ทางที่ดีแนะนำให้เปลี่ยนชื่อให้เรียบร้อยภายใน 15 วันหลังซื้อขาย เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมาย และความยุ่งยากในอนาคต เช่น กรณีโดนค่าปรับ หรือเมื่อเกิดอุบัติเหตุและต้องแจ้งเคลมประกันรถยนต์

ขั้นตอนการต่อภาษีรถสำหรับรถมือสอง (รถมือ 2)
การต่อภาษีรถสำหรับรถมือสองมีขั้นตอนที่คล้ายกับรถใหม่ แต่จะมีจุดที่ต้องตรวจสอบเพิ่มเติม เช่น สถานะของรถ การเปลี่ยนชื่อเจ้าของ หรือการต่อประกัน พ.ร.บ. ที่อาจยังไม่ได้ดำเนินการครบถ้วน
ตรวจสอบสถานะรถก่อนต่อภาษี
ก่อนทำการต่อภาษีแนะนำให้ตรวจสอบสถานะของรถก่อนว่า รถยังมีทะเบียนอยู่หรือไม่ (ไม่ถูกระงับทะเบียน) มีการค้างชำระภาษีย้อนหลังหรือเปล่า มีค่าปรับค้างชำระอื่น ๆ หรือไม่ โดยสามารถตรวจสอบได้ผ่านเว็บไซต์ของ กรมการขนส่งทางบก หรือแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue
เอกสารที่ต้องใช้ในการต่อภาษี
สำหรับการต่อภาษีรถมือสอง เอกสารที่ต้องเตรียมมี ดังนี้
- เล่มทะเบียนรถ (ตัวจริง หรือสำเนา)
- สำเนาบัตรประชาชนของเจ้าของเดิม หรือของผู้ครอบครองปัจจุบัน
- พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (ต้องไม่หมดอายุ)
- ใบรับรองการตรวจสภาพรถ (กรณีรถอายุเกิน 7 ปี หรือ 5 ปีสำหรับรถจักรยานยนต์)
- ในกรณีที่ยังไม่เปลี่ยนชื่อ เจ้าของใหม่สามารถแนบหนังสือมอบอำนาจจากเจ้าของเดิมได้หากจำเป็น
ช่องทางการต่อภาษีรถยนต์
การต่อภาษีรถสามารถทำได้ผ่านหลากหลายช่องทาง ได้แก่
- สำนักงานกรมการขนส่งทางบก ทุกสาขาทั่วประเทศ
- เคาน์เตอร์เซอร์วิส / จุดบริการธนาคาร / ไปรษณีย์ ที่รับดำเนินการ
- เว็บไซต์ e-service ของกรมการขนส่งทางบก
- แอป DLT Vehicle Tax (รองรับเฉพาะรถยนต์ที่ไม่ต้องตรวจสภาพ)
- Drive Thru for Tax (บริการขับรถต่อภาษี ไม่ต้องลงจากรถ – เฉพาะบางพื้นที่)
จำเป็นไหม? ต้องแจ้งเปลี่ยนชื่อก่อนถึงจะต่อภาษีได้
การต่อภาษีรถยนต์มือสอง ไม่จำเป็นต้องแจ้งเปลี่ยนชื่อก่อนก็สามารถต่อภาษีได้ เพราะกฎหมายไม่ได้ห้ามเจ้าของใหม่ต่อภาษีในชื่อเจ้าของเดิม แต่สิ่งที่จำเป็นและควรทำทันทีหลังจากซื้อรถมือสอง คือ การโอนกรรมสิทธิ์และแจ้งเปลี่ยนชื่อในเล่มทะเบียนภายใน 15 วัน เพื่อป้องกันปัญหาด้านเอกสาร และความผิดตาม พ.ร.บ.รถยนต์ ที่อาจมีค่าปรับสูงถึง 2,000 บาท แต่การโอนกรรมสิทธิ์จะช่วยให้คุณเป็นเจ้าของรถอย่างถูกต้อง และสามารถดำเนินการต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องพึ่งเจ้าของเดิม
สรุป ซื้อรถมือสอง ต่อภาษีรถไม่ยาก ถ้าทำตามขั้นตอน
แม้จะเป็นรถมือสองแต่การต่อภาษีรถยนต์ก็สามารถทำได้อย่างสะดวก หากเตรียมเอกสารครบ ตรวจสอบสถานะรถล่วงหน้า และดำเนินการผ่านช่องทางที่เหมาะสมกับคุณ ไม่ว่าคุณจะเปลี่ยนชื่อเจ้าของหรือยังไม่เปลี่ยน ก็สามารถต่อภาษีรถได้ เพียงแต่ควรเร่งดำเนินการเปลี่ยนชื่อให้ถูกต้องภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด เพื่อความสบายใจและปลอดภัยทางกฎหมายในระยะยาว