การฟังเพลงตอนขับรถ มีผลอะไรกับความเร็วรถไหม?
สิ่งที่ใครหลาย ๆ คนชอบทำตอนขับรถแบบขาดไม่ได้ อย่างการฟังเพลงตอนขับรถ เป็นกิจกรรมยอดฮิตที่ช่วยสร้างบรรยากาศ และลดความตึงเครียดระหว่างการเดินทางได้เป็นอย่างดี แต่รู้หรือไม่ว่า จริง ๆ แล้วจังหวะของดนตรีนั้น อาจส่งผลต่อพฤติกรรมการเหยียบคันเร่งได้โดยไม่รู้ตัว การเลือกเพลย์ลิสต์ที่เหมาะสมต่อการฟังเพลงตอนขับรถ จะช่วยเพิ่มความสุนทรีย์ และส่งผลต่อสมาธิและความเร็วในการขับขี่
Key Takeaways
- จังหวะเพลงมีผลต่ออัตราเร่ง: การฟังเพลงที่มีความเร็วเกิน 120 BPM ส่งผลให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น จนผู้ขับขี่เผลอเหยียบคันเร่งหนักขึ้นและอาจขับรถเร็วขึ้นเฉลี่ยถึง 10 กม./ชม.
- ช่วงที่ปลอดภัยที่สุดคือ 60-80 BPM: จังหวะนี้ใกล้เคียงกับอัตราการเต้นของหัวใจปกติ ช่วยให้มีสมาธิจดจ่อ ไม่ตื่นตัวจนเกินไป และไม่ผ่อนคลายจนเสี่ยงหลับใน
- แนวเพลงส่งผลต่อพฤติกรรม: เพลง Rock/EDM กระตุ้นการขับขี่ที่ก้าวร้าว ส่วน Pop/Hip-hop แม้บีทจะช้ากว่าแต่เนื้อร้องที่ติดหูอาจดึงสมาธิไปจากการควบคุมรถ
- ความดังเป็นปัจจัยเสี่ยง: การเปิดเพลงดังเกินไปลดประสิทธิภาพการได้ยินสัญญาณเตือนภายนอก และเมื่อบวกกับเพลงจังหวะเร็วจะยิ่งทวีคูณความเสี่ยงอุบัติเหตุ
ทำไมถึงมีการฟังเพลงขณะขับรถ
ในยุคสมัยนี้เรียกได้ว่าการฟังเพลงตอนขับรถนั้น นับเป็นของคู่กันที่แยกไม่ออก ไม่ว่าจะเป็นการฟังเพลงจากวิทยุ หรือการเชื่อมต่อเพลย์ลิสต์ส่วนตัวจากสมาร์ตโฟน เพราะการฟังเพลงในรถช่วยเปลี่ยนบรรยากาศภายในรถที่อาจจะเงียบเหงาหรือน่าเบื่อ ให้กลายเป็นพื้นที่ส่วนตัวที่เต็มไปด้วยความบันเทิง สนุกสนาน นอกจากนี้ การฟังเพลงยังช่วยผ่อนคลายความเครียดจากสภาพการจราจรที่ติดขัดได้อีกด้วย
ดาบสองคม! ข้อดีและข้อเสียของการฟังเพลงตอนขับรถ
ถึงแม้ว่า การฟังเพลงตอนขับรถจะเป็นกิจกรรมบนรถที่นิยมเป็นอย่างมาก ดูจะมีประโยชน์และข้อดีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความผ่อนคลาย และแก้เบื่อได้เป็นอย่างดี แต่จริงๆ แล้ว การฟังเพลงตอนขับรถก็ยังมีข้อเสียที่ใครหลายๆ คนอาจจะประสบพบเจอโดยไม่รู้ตัว ดังนั้น บทความนี้จึงรวบรวมข้อดี-ข้อเสียของการฟังเพลงตอนขับรถมาให้ ดังนี้
ข้อดีของการฟังเพลงตอนขับรถ
- ช่วยให้ผ่อนคลาย: สร้างความสนุกสนาน ลดความเหนื่อยล้าจากการทำงานหรือความตึงเครียดสะสม ช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้นเมื่อเริ่มออกเดินทาง
- ลดความเครียด: ช่วยปรับอารมณ์ให้เย็นลง โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญกับสภาพการจราจรที่ติดขัด
- คลายความเบื่อหน่าย: จากการต้องเดินทางไกล หรือใช้เส้นทางที่จำเจ ทำให้ดูสั้นลงและสนุกขึ้น
- กระตุ้นความตื่นตัว: จังหวะดนตรีช่วยให้สมองทำงานตลอดเวลา ลดความเสี่ยงจากอาการเหม่อลอยหรือหลับใน
- ช่วยให้อารมณ์ดี: การได้ฟังเพลงที่ชอบ จะช่วยให้หลั่งสารความสุข ทำให้มีทัศนคติที่ดีต่อเพื่อนร่วมทาง
- สร้างสมาธิ: สำหรับบางคน การเปิดเพลงฟังในรถช่วยตัดเสียงรบกวนภายนอก ทำให้จดจ่อกับการควบคุมรถได้ดีขึ้น
ข้อเสียของการฟังเพลงตอนขับรถ
- สมาธิหลุด: หากฟังเพลงที่มีเนื้อหาที่ต้องคิดตามมากเกินไป อาจทำให้หลุดโฟกัสจากการขับรถ
- แยกประสาทสัมผัสยาก: การฟังเพลงเสียงดังเกินไป จะทำให้ไม่ได้ยินเสียงสัญญาณภายนอก เช่น เสียงแตร, เสียงไซเรนรถกู้ชีพ หรือเสียงผิดปกติของเครื่องยนต์
- ส่งผลต่อการตัดสินใจ: การฟังเพลงที่มีจังหวะเร็วหรือรุนแรงเกินไป อาจทำให้ผู้ขับขี่ตัดสินใจแบบใจร้อน และเสี่ยงอุบัติเหตุมากขึ้น
- ความเสี่ยงเรื่องความง่วง: หากเลือกฟังเพลงที่ช้าหรือเนิบนาบเกินไปในขณะที่ร่างกายอ่อนเพลียนั้น อาจกระตุ้นให้เกิดอาการหลับในได้ง่ายขึ้น
- สูญเสียการควบคุมความเร็ว: การฟังเพลงตอนขับรถ อาจส่งผลให้ผู้ขับขี่เผลอเหยียบคันเร่ง ไปตามจังหวะเพลงที่เร็วเกินไป จนอาจขับรถเกินความเร็วที่กฎหมายกำหนดโดยไม่รู้ตัว
เจาะลึกงานวิจัย ความเร็วเพลง (BPM) มีผลต่อความเร็วรถจริงไหม?

งานวิจัยจาก South China University of Technology พบว่าการฟังเพลงที่มีความเร็วเกิน 120 BPM (Beats Per Minute) ขึ้นไป จะส่งผลให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นตามจังหวะเพลง จนผู้ขับขี่เผลอเหยียบคันเร่งหนักขึ้นโดยไม่รู้ตัว และจากสถิติแล้ว การฟังเพลงตอนขับรถอาจทำให้ขับรถเร็วขึ้นเฉลี่ยถึง 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
นอกจากเรื่องของความเร็วเพลงที่มีผลนั้น ประเภทของแนวเพลงแต่ละแบบยังส่งผลต่ออารมณ์และสมาธิของผู้ขับขี่ในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปได้ ดังนี้
- เพลง Pop (100 – 120 BPM): เป็นแนวเพลงยอดนิยมที่ฟังง่าย แต่อาจดึงสมาธิได้สูงเพราะเป็นเพลงที่มีเนื้อร้องติดหู ทำให้เผลอร้องตามจนสมาธิในการจดจ่อกับถนนลดลง
- เพลง Rock / Heavy Metal (120 – 150+ BPM): จังหวะที่ดุดันมักกระตุ้นให้ขับรถก้าวร้าวขึ้น เสี่ยงต่อการขับจี้ท้ายหรือแซงในระยะกระชั้นชิด
- เพลง EDM / Dance (125 – 140 BPM): บีทที่หนักและสนุกต่อเนื่องอาจทำให้โฟกัสไปที่ความสนุกสนาน จนเผลอเร่งความเร็วรถให้พุ่งไปตามจังหวะเพลงโดยไม่ตั้งใจ
- เพลง Hip-hop / Rap (80 – 110 BPM): แม้จังหวะจะไม่เร็วเท่าเพลง Rock แต่เนื้อหาที่รัว เร็วและซับซ้อนมักจะดึงสมาธิไปจากการขับขี่ ทำให้การตัดสินใจต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินช้าลง
สรุปแล้ว ความเร็วเพลงที่เปิดมีผลต่อการขับรถไหม?
การฟังเพลงตอนขับรถ มีผลอย่างมีนัยสำคัญ เพราะจังหวะดนตรีส่งผลโดยตรงต่อการเต้นของหัวใจ ยิ่งเพลงมีจังหวะเร็ว ก็ยิ่งกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัวและเผลอกดคันเร่งแรงขึ้นตามจังหวะ จนอาจทำให้ผู้ขับขี่เผลอใช้ความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดความเร็วในการขับขี่รถเอาไว้โดยไม่รู้ตัว
แล้วถ้าฟังเพลงช้าแทน จะเกิดอะไรขึ้น?
แม้เพลงเร็วจะดูอันตราย แต่การฟังเพลงที่ช้าหรือเนิบนาบเกินไป (ต่ำกว่า 60 BPM) ก็เสี่ยงไม่แพ้กัน เพราะจังหวะที่เฉื่อยชาอาจทำให้ร่างกายผ่อนคลายจนเกินพอดี อาจเกิดอาการเคลิ้มหลับหรือสมาธิหลุดลอยได้ง่าย โดยเฉพาะการขับรถทางไกลในเส้นทางที่จำเจ
แล้วความเร็วเพลงควรเป็นเท่าไหร่ดี?
ระดับความเร็วเพลงที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการฟังเพลงตอนขับรถคือช่วง 60-80 BPM เพราะใกล้เคียงกับจังหวะหัวใจปกติ ช่วยให้มีสมาธิจดจ่อและไม่ตื่นตัวเกินไป หากขยับขึ้นมาที่ 80-120 BPM ร่างกายจะเริ่มตื่นตัวมากขึ้น จึงต้องคอยสังเกตความเร็วรถอย่างสม่ำเสมอ และจะเข้าสู่เขตอันตรายทันทีเมื่อความเร็วเพลงเกิน 120 BPM ขึ้นไป เพราะจะกระตุ้นให้ร่างกายคึกคะนองจนเผลอขับรถเกินความเร็ว
แล้วระดับความดังของเสียง มีผลไหม?
คำตอบคือมีผล เพราะการเปิดเพลงฟังในรถเสียงดังเกินไปจะรบกวนสมาธิและทำให้ไม่ได้ยินเสียงสำคัญภายนอก เช่น เสียงแตรหรือรถฉุกเฉิน ซึ่งเมื่อบวกกับเพลงที่มีจังหวะเร็ว (BPM สูง) ก็จะยิ่งทวีคูณความเสี่ยงให้เผลอขับรถเกินความเร็วและตัดสินใจด้วยความคึกคะนองมากขึ้น
ประโยชน์ และข้อแนะนำของการฟังเพลงตอนขับรถ
การฟังเพลงตอนขับรถช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีและลดความเครียดสะสมได้ โดยข้อดีของเพลงเร็วคือช่วยกระตุ้นความตื่นตัว ลดความเสี่ยงจากอาการเหม่อลอยในช่วงที่ร่างกายเริ่มล้า ส่วนเพลงช้า ก็จะช่วยให้จิตใจสงบและมีสมาธิคงที่ เหมาะสำหรับการขับขี่ในสภาพจราจรที่ติดขัดเพื่อให้ใจเย็นลง
ข้อแนะนำเพื่อความสมดุลในการขับขี่:
- เลือกจังหวะที่พอดี: พยายามเลือกเพลงที่มีจังหวะใกล้เคียงกับอัตราการเต้นของหัวใจปกติ (ประมาณ 60-80 BPM) เพื่อรักษาความเร็วรถให้คงที่ตาม กฎหมายกำหนดความเร็วในการขับขี่รถยนต์
- สลับแนวเพลงตามสถานการณ์: หากเริ่มง่วงให้ใช้เพลงเร็วช่วยกระตุ้นชั่วคราว แต่หากเริ่มรู้สึกคึกคักจนขับรถเร็วเกินไป ควรปรับความเร็วเพลงมาเป็นจังหวะช้าเพื่อดึงสมาธิกลับมา
- ระดับความดังต้องเหมาะสม: เปิดเพลงในระดับที่ยังได้ยินเสียงรอบข้าง เพื่อให้ประสาทสัมผัสในการตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินยังทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ระวังโดนใบสั่ง! เพลงเร้าใจแค่ไหน ก็ต้องรู้กฎหมายความเร็วรถล่าสุด

พอได้ฟังเพลงที่มีจังหวะสนุกสนาน ก็จะเพลินไปกับเพลงจนลืมมองเข็มไมล์ แต่ในทางกฎหมาย ความสนุกไม่ใช่ข้อยกเว้น การเผลอเหยียบคันเร่งตามจังหวะจนเกิน ความเร็วตามกฎหมายกำหนด เอาไว้ นอกจากจะเพิ่มความเสี่ยงอุบัติเหตุแล้ว ยังหมายถึงใบสั่งที่อาจส่งตรงถึงบ้านอีกด้วย
ความเร็วสูงสุดตามกฎหมายความเร็วรถล่าสุด (ปี 2568)
เพื่อให้ขับขี่ได้อย่างถูกต้องตามข้อบังคับของกฎหมายจราจร 2568 ลองมาเช็กกันดูว่าในแต่ละเส้นทางนั้น ใช้ความเร็วรถได้สูงสุดเท่าไหร่ จะได้สนุกกับเสียงเพลงไปพร้อมกับการรักษาความเร็วรถ
ความเร็วสูงสุดที่กำหนดในถนนแต่ละประเภท
- ในเขตกรุงเทพฯ / นนทบุรี / สมุทรปราการ / เขตเทศบาล: ไม่เกิน 80 กม./ชม.
- นอกเขตเทศบาล (ถนนข้ามจังหวัดทั่วไป): ไม่เกิน 90 กม./ชม.
- ทางหลวงชนบท: ไม่เกิน 90 กม./ชม.
- ทางหลวงแผ่นดิน (ที่มีป้าย 120): ไม่เกิน 120 กม./ชม. (เลนขวาสุดห้ามต่ำกว่า 100)
- มอเตอร์เวย์ (Motorway / Expressway): ไม่เกิน 120 กม./ชม.
อัตราค่าปรับเมื่อขับรถเร็วเกินกฎหมายกำหนด
หากขับรถเกินความเร็วค่าปรับจะเป็นเท่าไหร่ ? สิ่งที่ต้องเผชิญอาจไม่ใช่แค่เสียงเพลงแต่เป็นข้อหาทางจราจร:
- โทษปรับทางกฎหมาย: มีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 4,000 บาท
- การตัดคะแนน: ถูกตัดคะแนนความประพฤติทันที 1 คะแนน ซึ่งหากโดนตัดจนหมดจะถูกพักการใช้ใบขับขี่
- ระบบกล้องอัจฉริยะ: ปัจจุบันใช้ระบบตรวจจับอัตโนมัติที่แม่นยำสูง แม้จะขับเร็วแค่ช่วงสั้นๆ ตามจังหวะเพลงก็อาจไม่รอดสายตากล้องไปได้
และเมื่อความเพลินของเสียงเพลงพาไปจนได้รับจดหมายสีขาวจากตำรวจ หลายคนคงสงสัยว่าใบสั่งจ่ายที่ไหน ซึ่งปัจจุบันชำระได้ง่ายๆ ผ่านแอป Krungthai NEXT, แอปทางรัฐ หรือไปรษณีย์ทุกสาขา เพื่อความสะดวกและป้องกันการถูกตัดคะแนนใบขับขี่หากค้างชำระ
สรุป ฟังเพลงได้แต่ต้องมีสติ
สรุปแล้ว การฟังเพลงตอนขับรถนั้น มีประโยชน์ในหลายมิติ ทั้งช่วยให้ผ่อนคลายและคลายความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง แต่ไม่ว่าจะเลือกฟังเพลงจังหวะช้าหรือเร็ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการตั้งสติและรักษาสมาธิให้อยู่กับการควบคุมรถเสมอ เพื่อให้ทุกเส้นทางปลอดภัยทั้งต่อตัวผู้ขับและเพื่อนร่วมทางครับ
เมื่อขับรถอย่างมีสติแล้ว อย่าลืมเพิ่มความอุ่นใจในทุกการเดินทางด้วยประกันรถยนต์ที่ตอบโจทย์ที่สุด ที่ SILKSPAN เรามีประกันภัยรถยนต์จากบริษัทชั้นนำให้คุณเปรียบเทียบเบี้ยได้ทันที ไม่ว่าจะเป็น ประกันรถยนต์ชั้น 1, ประกันรถยนต์ชั้น 2+, ประกันรถยนต์ชั้น 3+ และ ประกันรถยนต์ชั้น 3 พร้อมทีมผู้เชี่ยวชาญที่คอยให้คำปรึกษา เพื่อให้คุณได้รับความคุ้มครองที่ตรงใจและคุ้มค่าที่สุดในที่เดียว
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
- Facebook : SILKSPAN
- Instagram : silkspan
- Line Official : @SILKSPAN
- X (twitter) : SILKSPAN
- Youtube : SILKSPAN
- TikTok : silkspan