วิธีขับรถเกียร์ออโต้ฉบับสมบูรณ์ ขับอย่างไรให้ปลอดภัย ถนอมเกียร์ ใช้งานได้นาน
เกียร์ออโต้ (Automatic Transmission) กลายเป็นมาตรฐานของรถยนต์ในยุคปัจจุบัน ด้วยความสะดวกสบายที่ทำให้มือใหม่หัดขับสามารถเรียนรู้ได้เร็วกว่าเกียร์ธรรมดามาก อย่างไรก็ตาม ความง่ายนั้นก็มาพร้อมกับรายละเอียดที่หลายคนมองข้าม บทความนี้ SILKSPAN จะมาเจาะลึกทุกแง่มุมของวิธีขับรถเกียร์ออโต้ที่ถูกต้อง ตั้งแต่การทำความเข้าใจสัญลักษณ์พื้นฐาน ไปจนถึงเทคนิคการขับรถขึ้นเขาด้วยเกียร์ออโต้ การถอยหลัง และการใช้เกียร์ในสถานการณ์ต่างๆ เพื่อให้คุณขับขี่ได้อย่างมั่นใจ ปลอดภัย และช่วยยืดอายุการใช้งานเกียร์ให้อยู่ไปนาน ๆ
Key Takeaways
- เกียร์ต่ำ (L, 1, 2) จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการขึ้น-ลงทางลาดชัน ช่วยเพิ่มกำลังฉุดขณะขึ้น และใช้เป็น Engine Brake เพื่อชะลอความเร็วขณะลงเขา ลดภาระเบรก
- รถต้องหยุดสนิท 100% ก่อนสลับเกียร์ระหว่าง D (เดินหน้า) และ R (ถอยหลัง) การเปลี่ยนเกียร์ขณะรถยังไหลคือสาเหตุหลักที่ทำให้เกียร์พัง
- หากจอดติดไฟแดงจอดไม่นาน สามารถเข้าเกียร์ D และเหยียบเบรกค้างไว้ได้ แต่หากจอดนานกว่านั้น แนะนำให้เข้าเกียร์ N (เกียร์ว่าง) และดึงเบรกมือ เพื่อลดความร้อนสะสม
- เกียร์ P (Park) ทำหน้าที่ล็อกชุดเกียร์เท่านั้น ไม่ได้ล็อกล้อ ควรดึงเบรกมือก่อนเสมอ แล้วจึงเข้าเกียร์ P เพื่อไม่ให้สลักเกียร์ต้องรับน้ำหนักรถทั้งหมด
- ห้ามเข้าเกียร์ N ปล่อยไหลลงเขา การทำเช่นนี้จะทำให้สูญเสีย Engine Brake และต้องพึ่งพาเบรกเท้าเพียงอย่างเดียว ซึ่งอาจทำให้เบรกไหม้ จนรถเบรกไม่อยู่
สัญลักษณ์ควรรู้ก่อนเริ่มขับรถเกียร์ออโต้

ก่อนที่จะไปดูวิธีขับรถเกียร์ออโต้ มาทำความเข้าใจความหมายของตัวอักษรต่าง ๆ บนคันเกียร์กันก่อน เพราะนี่คือพื้นฐานสำคัญที่สุดของการหัดขับรถเกียร์ออโต้
- P (Park) : ตำแหน่งสำหรับ “จอด” โดยจะมีการล็อกชุดเฟืองเกียร์ไม่ให้รถเคลื่อนที่ได้ ใช้เมื่อจอดรถสนิทและต้องการดับเครื่องยนต์ หรือจอดในที่ลาดชัน (และต้องดึงเบรกมือควบคู่เสมอ)
ข้อควรจำ : ห้ามใช้ตำแหน่ง P หากเป็นการจอดซ้อนคันที่ต้องการให้รถเข็นได้
- R (Reverse) เกียร์ R คือตำแหน่งสำหรับ “ถอยหลัง” ต้องเหยียบเบรกให้รถหยุดนิ่งก่อน จึงจะเปลี่ยนมาที่เกียร์ R ได้
- N (Neutral) : ตำแหน่ง “เกียร์ว่าง” ในตำแหน่งนี้ล้อรถจะเป็นอิสระ ไม่ถูกล็อก (เหมือนเกียร์ว่างในรถเกียร์ธรรมดา) เหมาะสำหรับใช้จอดซ้อนคัน (ต้องปลดล็อกคันเกียร์) หรือใช้จอดติดไฟแดงเป็นเวลานาน ๆ
- D (Drive) : ตำแหน่ง “ขับเคลื่อนไปข้างหน้า” เป็นเกียร์หลักที่ใช้สำหรับการขับขี่ทั่วไป ระบบเกียร์จะปรับเปลี่ยนอัตราทดเกียร์ให้เองอัตโนมัติตามความเร็วและน้ำหนักคันเร่งที่คุณเหยียบ
- S (Sport) : เกียร์สปอร์ต หรือ โหมดสปอร์ต จะช่วยให้รถยนต์มีกำลังมากขึ้นจากรอบเครื่องยนต์ที่สูงกว่าปกติ ระบบจะเปลี่ยนเกียร์ช้าลง แต่ยังรักษารอบเครื่องยนต์สูงกว่าเกียร์ D ทำให้รถมีอัตราเร่งที่ดีกว่า เหมาะสำหรับการใช้แซงบนทางตรง หรือเมื่อขึ้นทางชันเล็กน้อย แต่ควรระวังเครื่องยนต์ที่ทำงานหนักขึ้น และสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากกว่า
- เกียร์ต่ำ (D3, D2, L, 1) : สัญลักษณ์จะแตกต่างกันไปในรถแต่ละรุ่น แต่หลักการคือ “การจำกัดอัตราทดเกียร์” ไม่ให้สูงเกินไป
- D3 หรือ 3 – มักจะจำกัดเกียร์ไว้ที่ 1-3 ใช้สำหรับขับขึ้น-ลงเนินที่ไม่ชันมาก หรือเมื่อต้องการเร่งแซง
- D2 หรือ 2 – จำกัดเกียร์ไว้ที่ 1-2 ใช้สำหรับทางที่ชันมากขึ้น หรือต้องการ Engine Brake มากขึ้น
- L (Low) หรือ 1 – คือเกียร์ 1 เท่านั้น ใช้สำหรับทางที่ “ชันมาก” ทั้งตอนขึ้น (ต้องการกำลังฉุดสูงสุด) และตอนลง (ต้องการ Engine Brake รุนแรงที่สุด)
วิธีขับรถเกียร์ออโต้ ถอยหลังอย่างไรให้ปลอดภัย
การขับรถเกียร์ออโต้เพื่อถอยหลัง เป็นทักษะที่มือใหม่หัดขับมักจะกังวล แต่จริง ๆ แล้วทำได้ง่ายและปลอดภัยมากหากทำตามขั้นตอนนี้
- หยุดรถให้นิ่ง : ใช้เท้าขวาเหยียบแป้นเบรก ค้างไว้จนรถหยุดนิ่งสนิท 100%
- เปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ : ในขณะที่ยังเหยียบเบรกค้างไว้ ให้เลื่อนคันเกียร์ไปยังตำแหน่ง R (Reverse)
- ตรวจสอบความปลอดภัย : ก่อนปล่อยเบรก ให้มองกระจกมองข้างซ้าย-ขวา กระจกมองหลัง และหันมองข้ามไหล่ (หรือดูกล้องมองหลัง) เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งกีดขวาง
- ควบคุมด้วยเบรก : ค่อย ๆ “ผ่อน” เท้าออกจากแป้นเบรกช้า ๆ รถจะเริ่มเคลื่อนที่ถอยหลังเองอย่างช้า ๆ (อาการนี้เรียกว่า Creep)
- ใช้เบรกเป็นหลัก : ในการถอยจอดในพื้นที่จำกัด แทบไม่จำเป็นต้องเหยียบคันเร่งเลย ให้ใช้การเลี้ยงเบรก (ปล่อยเบรก-แตะเบรก) เพื่อควบคุมความเร็วให้ช้าและปลอดภัยที่สุด
วิธีขับรถเกียร์ออโต้ ขับขึ้นเขาอย่างไรให้ปลอดภัย

หัวใจสำคัญของการขับรถขึ้นเขาด้วยเกียร์ออโต้ที่หลายคนใช้ผิดมาตลอดคือการใช้เกียร์ D ตลอดเส้นทางขึ้น-ลงเขา การทำแบบนี้จะทำให้เกียร์ทำงานหนัก เกิดความร้อนสูง และทำให้เบรกเสียหายได้ วิธีขับขี่ขึ้น-ลงเขาอย่างถูกต้องมีดังนี้
-
- ประเมินความชัน : หากเป็นเนินทั่วไป ใช้เกียร์ D ได้ตามปกติ
- เมื่อรถเริ่มอืด : หากรู้สึกว่ารถเริ่มไม่มีแรง เร่งไม่ขึ้น หรือเกียร์เปลี่ยนกลับไปกลับมา (เช่น สลับระหว่าง 3 กับ 4) ให้ เปลี่ยนไปใช้เกียร์ต่ำ
- เลือกเกียร์ต่ำให้เหมาะ :
-
- ทางชันไม่มาก : ใช้ D3 (หรือ 3)
- ทางชันมากขึ้น : ใช้ D2 (หรือ 2)
- ทางชันมากและยาว : ใช้ L (หรือ 1)
- รักษาการส่งกำลัง : การใช้เกียร์ต่ำจะเป็นการล็อกรอบเครื่องยนต์ให้สูงคงที่ ทำให้มีแรงบิดหรือกำลังฉุดลากรถขึ้นเขาได้อย่างต่อเนื่อง โดยที่เกียร์ไม่เปลี่ยนไปมาให้เสียจังหวะ
วิธีขับรถเกียร์ออโต้แบบหมุน ทำอย่างไร
รถยนต์เกียร์ออโต้ในปัจจุบัน โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ ๆ มักจะเปลี่ยนจากคันเกียร์มาเป็นแป้นหมุน(Rotary Dial Shifter) หรือปุ่มกด (Button Shifter) แม้รูปลักษณ์จะเปลี่ยนไป แต่หลักการทำงานพื้นฐานยังคงเหมือนเดิมทุกประการ
- เหยียบเบรกเสมอ: เช่นเดียวกับเกียร์แบบคันโยก คุณต้องเหยียบเบรกให้สนิทก่อนจึงจะเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ได้
- หมุน/กด เลือกตำแหน่ง: แทนที่จะโยกคันเกียร์ คุณก็แค่หมุนแป้นไปที่ตัวอักษร R, N, D หรือกดปุ่ม P เพื่อจอด
- หลักการขับขี่: วิธีขับเกียร์ออโต้แบบหมุนนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเทคนิคการขับขี่เลย การขึ้นเขา-ลงเขา การถอยหลัง หรือการจอดติดไฟแดง ยังคงใช้หลักการเดียวกันกับเกียร์อัตโนมัติแบบคันโยกทุกประการ
รวม 12 วิธีขับรถเกียร์ออโต้ เพียงรู้ทริคเหล่านี้ก็ขับได้ทันที!

นอกจากหลักการพื้นฐานแล้ว นี่คือ 12 เคล็ดลับและข้อควรระวังที่จะช่วยให้การขับรถเกียร์ออโต้ของคุณสมบูรณ์แบบ ปลอดภัย และถนอมเกียร์ได้จริง
1. สตาร์ทเครื่องยนต์อย่างไรให้ปลอดภัย
ก่อนสตาร์ทรถทุกครั้งต้องแน่ใจว่าเกียร์อยู่ที่ตำแหน่ง P หรือ N เท่านั้น และเท้าขวาต้องเหยียบเบรกไว้เสมอ นี่คือความปลอดภัยพื้นฐานที่ป้องกันไม่ให้รถพุ่งหรือถอยในจังหวะที่เครื่องยนต์ติด
2. รู้ความแตกต่างของเกียร์ D1 D2 และ D3
ย้ำอีกครั้งว่าเกียร์พวกนี้นี่คือ “เกียร์ต่ำ” มันมีไว้สำหรับจำกัดอัตราทด ไม่ใช่สำหรับเพิ่มความเร็ว ใช้มันในกรณีเมื่อการกำลังฉุดลาก (ขึ้นเขา) หรือต้องการแรงหน่วง (ลงเขา) การใช้เกียร์ต่ำค้างไว้บนทางเรียบจะทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักและกินน้ำมันโดยใช่เหตุ
3. วิธีขับรถเกียร์ออโต้ตอนติดไฟแดง
หากจอดติดไฟแดงชั่วครู่ (ไม่เกิน 1 นาที) ให้เข้าเกียร์ D ค้างไว้ แล้วเหยียบเบรก ระบบเกียร์ถูกออกแบบมาให้ทนทานต่อการใช้งานลักษณะนี้ แต่ถ้าจอดนาน (ไฟแดงนาน, รถติดหนัก) แนะนำให้เปลี่ยนเป็นไปเกียร์ N แล้วดึงเบรกมือขึ้น เพื่อลดภาระของชุดคลัตช์ในเกียร์ ลดความร้อนสะสม และให้เท้าขวาได้พัก
4. เรียนรู้การใช้เกียร์ P
เกียร์ P คือ “Park” ใช้ตอนจอดรถเท่านั้น และไม่ใช่ “Parking Brake” หรือเบรกมือ ลำดับการใช้เกียร์ P ที่ถูกต้องคือ
- เหยียบเบรกให้รถหยุด
- ดึงเบรกมือให้สุด
- ปล่อยเบรกเท้า (ให้น้ำหนักรถถ่ายไปที่เบรกมือ)
- เหยียบเบรกอีกครั้ง แล้วค่อยเข้าเกียร์ P
วิธีนี้จะช่วยไม่ให้ สลักเกียร์ต้องรับน้ำหนักรถทั้งหมด ซึ่งอาจทำให้ปลดเกียร์ยากในภายหลัง
5. เกียร์ D4 ควรใช้หรือไม่
ในรถรุ่นเก่าที่อาจมีปุ่ม O/D (Overdrive) หรือมีตำแหน่ง D4, D3, 2, L นั้น ตำแหน่ง D4 หรือ D (ในขณะที่ไฟ O/D ติด) ก็คือ “เกียร์สูงสุด” สำหรับการขับขี่ปกตินั่นเอง มันคือเกียร์ D ที่เราใช้กันในปัจจุบัน สรุปคือใช้เป็นเกียร์หลักได้เลย
6. วิธีขับรถเกียร์ออโต้เมื่อแทรกรถคันอื่น
เมื่อต้องการกำลังเร่งแซงฉุกเฉิน ให้ทำการคิกดาวน์ (Kickdown) ซึ่งคือการเหยียบคันเร่งลงไปจนสุดอย่างรวดเร็ว ระบบจะสั่งลดเกียร์ลง 1-2 ระดับ เช่น จาก 4 ไป 3 หรือ 2 เพื่อเรียกกำลังสูงสุดของเครื่องยนต์ออกมาใช้ในตอนเร่งแซงทางตรง หรือหากรถมีเกียร์ D3 ก็สามารถตบเกียร์ลงมาที่ D3 เพื่อเร่งแซงได้เช่นกัน
7. เกียร์ N ช่วยให้ประหยัดน้ำมันได้จริงไหม
เป็นความจริง แต่เฉพาะตอนจอดนิ่งติดไฟแดงนาน ๆ เท่านั้น เพราะเครื่องยนต์ไม่ต้องพยายามส่งกำลังต้านเบรก แต่ที่ห้ามใช้เด็ดขาดคือการเข้าเกียร์ N ปล่อยรถไหลลงเขา เพราะนอกจากจะไม่ประหยัดน้ำมันอย่างที่คิดแล้ว ยังเป็นการกระทำอันตรายมาก ๆ เพราะรถจะไม่มี Engine Brake หรือแรงหน่วงจากเครื่องยนต์เลย
8. เลี่ยงการเร่งความเร็วก่อนเข้าเกียร์ออโต้
การเบิ้ลเครื่องในเกียร์ N แล้วกระแทกเข้าเกียร์ D เพื่อให้ออกตัวแรง ๆ เหมือนในหนัง เป็นการทำร้ายเกียร์อย่างรุนแรง ทำให้ชุดคลัตช์และเฟืองเกียร์กระชากและสึกหรออย่างรวดเร็ว อยากออกตัวเร็วให้เข้าเกียร์ D แล้วเพิ่มน้ำหนักการเหยียบคันเร่ง
9. การคิกดาวน์ส่งผลเสียกับตัวรถไหม
การคิกดาวน์ (Kickdown) เป็นฟังก์ชันที่ผู้ผลิตออกแบบมาให้ใช้งานอยู่แล้ว การใช้งานในยามจำเป็น เช่น เร่งแซง ไม่ส่งผลเสียอะไรต่อระบบเกียร์ แต่การคิกดาวน์บ่อย ๆ หรือลากรอบสูงเป็นประจำย่อมทำให้เครื่องยนต์และเกียร์สึกหรอเร็วกว่าปกติ และสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
10. จอดรถไม่นิ่ง ไม่ควรเปลี่ยนเกียร์เดินหน้าถอยหลัง
นี่คือข้อห้ามที่สำคัญที่สุด ก่อนเปลี่ยนเกียร์จาก D ไป R หรือ R ไป D รถต้องหยุดนิ่งสนิทเท่านั้น การเปลี่ยนเกียร์ขณะที่รถยังไหล (แม้จะช้า ๆ) จะทำให้ระบบเกียร์ต้องทำงานสวนทิศทาง เกิดการกระชากอย่างรุนแรง และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกียร์พังก่อนเวลาอันควร
11. ขับรถลากเกียร์ อันตรายไหม
“ลากเกียร์” ในที่นี้หมายถึงการคาเกียร์ต่ำ (เช่น L หรือ 2) ไว้แล้วขับด้วยความเร็วสูงบนทางเรียบ การทำเช่นนี้จะทำให้รอบเครื่องยนต์สูงจัด (Over-rev) ตลอดเวลา ทำให้เครื่องยนต์ร้อนจัด, สิ้นเปลืองน้ำมันมหาศาล และอาจทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้ ควรใช้เกียร์ต่ำเฉพาะเมื่อจำเป็น (ขึ้น-ลงเขา) เท่านั้น
12. จอดรถไม่ดับเครื่อง ไม่ควรใช้เกียร์ N
หากคุณจอดรถรอรับคนโดยไม่ดับเครื่อง การเข้าเกียร์ N และดึงเบรกมือ เป็นวิธีที่ถูกต้องและปลอดภัย แต่หากต้องลงจากรถแม้เพียงชั่วครู่เดียว ห้ามทิ้งรถไว้ในเกียร์ N เด็ดขาด เพราะหากเบรกมือขัดข้องหรือลืมดึง รถอาจไหลได้ ต้องเข้าเกียร์ P เพื่อล็อกเกียร์เสมอ
วิธีขับรถเกียร์ออโต้ ไม่ยาก แค่เข้าใจหลักการ
วิธีขับรถเกียร์ออโต้นั้นง่ายกว่าเกียร์ธรรมดามาก แต่ก็มีรายละเอียดที่ต้องใส่ใจ หัวใจสำคัญคือการรู้จักใช้เกียร์ให้ถูกกับสถานการณ์ ไม่ใช่แค่ใช้เกียร์ D ตลอดการเดินทาง การเข้าใจความหมายของ P, R, N, D และเกียร์ต่ำ (L, 2, 3) จะช่วยให้คุณรับมือได้ทุกสภาพถนน ช่วยให้ขับขี่ได้อย่างปลอดภัย และยืดอายุระบบเกียร์ออโต้ ให้อยู่คู่รถของคุณไปอีกนาน
เมื่อรู้วิธีขับรถเกียร์ออโต้อย่างปลอดภัยแล้ว อย่าลืมเพิ่มความอุ่นใจในการเดินทางด้วยประกันภัยรถยนต์ ที่ SILKSPAN มีประกันภัยรถยนต์จากบริษัทชั้นนำให้คุณเปรียบเทียบเบี้ยได้ทันที พร้อมผู้เชี่ยวชาญที่คอยให้คำปรึกษา เพื่อให้คุณได้ความคุ้มครองที่ตรงใจและคุ้มค่าที่สุดครับ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
- Facebook : SILKSPAN
- Instagram : silkspan
- Line Official : @SILKSPAN
- X (twitter) : SILKSPAN
- Youtube : SILKSPAN
- TikTok : silkspan
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิธีขับรถเกียร์ออโต้
รวมคำถามที่หลายคนสงสัย เกี่ยวกับ การขับรถเกียร์ออโต้:
เปลี่ยนเกียร์ D ไป S ต้องเหยียบเบรคไหม?
ไม่ต้อง การเปลี่ยนเกียร์ระหว่าง D (Drive) ไป S (Sport) หรือโหมด Manual (+/-) สามารถทำได้เลยในขณะที่ ขับรถอยู่ เพราะเป็นเพียงการเปลี่ยน “โหมด” การทำงานของเกียร์ให้ตอบสนองเร็วขึ้น
เกียร์ออโต้ ขึ้นเขา ใช้เกียร์อะไร?
ให้ใช้เกียร์ D เป็นหลักเมื่อเริ่มต้น แต่หากทางเริ่มชันมากจนรู้สึกว่ารถอืด ให้เปลี่ยนไปใช้เกียร์ต่ำ เช่น D2 หรือ D1/L (1) เพื่อเรียกกำลังเครื่องยนต์มาใช้งาน