
รู้จัก "เกียร์ออโต้" สำหรับมือใหม่ พร้อมสัญลักษณ์บนเกียร์ที่ควรรู้

ทุกวันนี้รถใหม่ๆ ในบ้านเรา ส่วนมากจะเป็นระบบเกียร์ออโต้ หรือเกียร์อัตโนมัติ เพราะมีความสะดวกสบายมากกว่าเกียร์ธรรมดา ไม่ต้องคอยมานั่งเหยียบคลัตช์ เปลี่ยนเกียร์บ่อยๆ และขับง่ายขึ้นเมื่อเข้าสู่เมืองใหญ่ที่มีการจราจรหนาแน่น เช่น กรุงเทพฯ เกียร์ออโต้จึงกลายเป็นตัวเลือกหลักสำหรับมือใหม่
แม้จะใช้งานง่าย แต่การขับรถเกียร์ออโต้ก็มีข้อควรระวัง หากใช้งานไม่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ เช่น เข้าเกียร์ไม่ได้ เกียร์ออโต้, เข้าเกียร์แล้วรถไม่วิ่ง, หรือแม้แต่อาการเกียร์ค้าง เกียร์ออโต้ ซึ่งนำไปสู่ค่าใช้จ่ายซ่อมแซมที่สูงมาก หากคุณเป็นมือใหม่หัดขับที่ยังไม่คุ้นเคยกับเกียร์ออโต้ หรือสงสัยว่า เกียร์ออโต้มีอะไรบ้าง หรือสัญลักษณ์เกียร์ออโต้แต่ละตัวหมายถึงอะไร บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจการทำงานของเกียร์ออโต้อย่างละเอียด เพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัยและมั่นใจยิ่งขึ้น
Key Takeaways
- เกียร์ออโต้ใช้งานง่าย เหมาะกับมือใหม่ แต่ต้องเข้าใจการทำงานและสัญลักษณ์ต่างๆ เพื่อการขับขี่ที่ถูกต้องและปลอดภัย
- รู้จักสัญลักษณ์เกียร์ (P, R, N, D, L, S, B) แต่ละตำแหน่งมีหน้าที่เฉพาะ ควรศึกษาให้แม่นยำเพื่อใช้งานอย่างถูกวิธี
- ข้อควรระวังสำคัญ หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำลายเกียร์ออโต้ เช่น การเบิ้ลเครื่องแล้วเข้าเกียร์ หรือปล่อยไหลเกียร์ N
- เทคนิคขับขึ้นเขา ใช้เกียร์ต่ำ (L หรือ 1, 2, 3) เพื่อเพิ่มกำลังและใช้ Engine Brake ช่วยชะลอความเร็วอย่างมีประสิทธิภาพ
- ประกันภัยช่วยได้ยามฉุกเฉิน หากเกิดปัญหา เช่น รถสตาร์ทไม่ติด ประกันรถยนต์ มักมีบริการช่วยเหลือฉุกเฉินครอบคลุม
เกียร์ออโต้ vs. เกียร์กระปุก ต่างกันอย่างไร?
สำหรับมือใหม่หัดขับ หรือผู้ที่กำลังมองหารถ และกำลังหาข้อมูลอยู่ ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างเกียร์ออโต้ (เกียร์อัตโนมัติ) และเกียร์กระปุก (เกียร์ธรรมดา) กันก่อน
- เกียร์ออโต้ : ใช้งานง่าย ไม่ต้องเหยียบคลัตช์ ระบบเปลี่ยนเกียร์เองตามความเร็วของรถ เพียงแค่เลือกตำแหน่งเกียร์ที่เหมาะสมกับการขับขี่เท่านั้นเหมาะกับผู้ขับขี่มือใหม่และการขับในเมือง ซึ่งช่วยลดความเหนื่อยล้าในการขับขี่ โดยเฉพาะในการจราจรติดขัดได้
- เกียร์กระปุก : ผู้ขับขี่จะต้องเหยียบคลัตช์และเปลี่ยนเกียร์ด้วยตนเองตามความเร็วรอบเครื่องยนต์ ทำให้ควบคุมกำลังรถได้ละเอียดกว่า ตอบสนองรวดเร็วกว่า เหมาะกับผู้มีประสบการณ์และต้องการควบคุมรอบเครื่องยนต์
ถ้าหากคุณเป็นมือใหม่แนะนำให้เริ่มต้นกับเกียร์ออโต้ เพื่อความสะดวกและปลอดภัย โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องขับรถขึ้นเขา หรือเร่งแซงในเมือง ต้องจำให้ได้ว่า เกียร์กระปุก (เกียร์ธรรมดา) หรือเกียร์ออโต้ คันเร่งอยู่ด้านไหน คำตอบคือก็ยังคงอยู่ในตำแหน่งขวาสุดเช่นเดียวกับรถเกียร์ธรรมดา ซึ่งมือใหม่สามารถเรียนรู้และปรับตัวได้ไม่ยาก

เกียร์ออโต้มีกี่แบบ? รู้จักประเภทของเกียร์อัตโนมัติ
หลายคนอาจสงสัยว่าเกียร์ออโต้มีกี่แบบ โดยหลักๆ แล้ว เกียร์อัตโนมัติสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภทตามกลไกการทำงานภายใน ซึ่งแต่ละแบบก็มีจุดเด่นและลักษณะการขับขี่ที่แตกต่างกันไป แต่โดยรวมแล้วเกียร์ออโต้ล้วนมีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกในการขับขี่ให้ง่ายขึ้นกว่าเกียร์ธรรมดามาก วันนี้ SILKSPAN จะพามารู้จักว่าเกียร์ออโต้มีอะไรบ้าง ดังนี้
- เกียร์ออโต้ Torque Converter : แบบคลาสสิก ใช้แรงดันน้ำมันช่วยเปลี่ยนเกียร์ ราบรื่น แต่กินน้ำมันมากกว่า
- เกียร์ออโต้ CVT (Continuously Variable Transmission) : ไม่มีเกียร์ที่ตายตัว เปลี่ยนอัตราทดอย่างลื่นไหล ประหยัดน้ำมัน
- เกียร์ออโต้ แบบคลัตช์คู่ DCT (Dual-Clutch Transmission) : เปลี่ยนเกียร์เร็วมาก คล้ายเกียร์ธรรมดา แต่ไม่มีคลัตช์ให้เหยียบ
- เกียร์ออโต้แบบกึ่งอัตโนมัติ AMT (Automated Manual Transmissions) : เป็นเกียร์ออโต้ที่ไม่ได้ทำงานอัตโนมัติ มีลักษณะการทำงานคล้ายเกียร์ธรรมดา แต่มีการทำงานของคลัตช์ และระบบเปลี่ยนเกียร์ออโต้ ไม่ต้องเปลี่ยนเกียร์เอง แต่ยังคงให้ความรู้สึกคล้ายการขับรถเกียร์ธรรมดา
แต่ละแบบมีข้อดี-ข้อเสียต่างกัน หากกำลังเลือกซื้อรถ อย่าลืมศึกษาประเภทของเกียร์ออโต้ให้เหมาะกับการใช้งานของคุณ
สัญลักษณ์บนเกียร์ออโต้ที่มือใหม่ควรรู้!
สำหรับมือใหม่หัดขับ การทำความเข้าใจสัญลักษณ์เกียร์ออโต้แต่ละตำแหน่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะแต่ละสัญลักษณ์มีหน้าที่และการใช้งานที่แตกต่างกัน การรู้ความหมายของสัญลักษณ์เหล่านี้จะช่วยให้คุณใช้งานเกียร์ออโต้ได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย
สัญลักษณ์ P (Parking)
ใช้สำหรับจอดรถสนิทและล็อกเกียร์ไม่ให้รถเคลื่อนที่ ควรใช้เมื่อจอดรถบนพื้นราบและดึงเบรกมือควบคู่ไปด้วย ห้ามใช้ตอนรถยังเคลื่อนที่อยู่ เพราะอาจทำให้เกียร์เสียหาย
สัญลักษณ์ R (Reverse)
ใช้สำหรับถอยหลัง เมื่อเข้าเกียร์ R รถจะเคลื่อนที่ถอยหลัง ควรเหยียบเบรกให้สนิทก่อนเปลี่ยนไปตำแหน่งนี้ ต้องใช้เมื่อรถหยุดนิ่งเท่านั้น
สัญลักษณ์ N (Neutral)
เกียร์ว่าง เหมาะกับการจอดชั่วคราว เช่น ติดไฟแดง หรือจอดซ้อนคัน รถจะสามารถเข็นได้ในตำแหน่งนี้ ในกรณีที่รถสตาร์ทไม่ติด ผู้ขับขี่ควรศึกษาวิธีสตาร์ทรถกรณีแบตหมดหากใช้เกียร์ออโต้ไว้ล่วงหน้า เพื่อความปลอดภัยและสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างถูกต้องด้วยเช่นกัน
สัญลักษณ์ D (Drive) หรือ D4
เกียร์เดินหน้าปกติ ใช้สำหรับการขับขี่ทั่วไป รถจะเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติไปข้างหน้าตามรอบเครื่อง
สัญลักษณ์ L (Low)
เกียร์ต่ำ ใช้เมื่อต้องการกำลังเครื่องยนต์สูง เช่น ขับขึ้นทางลาดชันมากๆ หรือขับลงเขาเพื่อใช้ Engine Brake ช่วยชะลอความเร็ว ช่วยเพิ่มแรงบิด ควบคุมรถได้ดีขึ้น
สัญลักษณ์ S (Sport)
เกียร์สปอร์ต หรือเกียร์สำหรับขับขี่แบบสปอร์ต รถจะลากรอบเครื่องยนต์สูงขึ้นเพื่อเพิ่มอัตราเร่ง เหมาะกับการขับขี่ที่ต้องการความคล่องตัว
สัญลักษณ์ B (Brake)
เกียร์เบรก หรือเกียร์สำหรับใช้ Engine Brake คล้ายกับเกียร์ L พบในรถไฮบริด ใช้เมื่อขับลงทางลาดชันเพื่อหน่วงความเร็วของรถ
ข้อควรระวังและดูแลรถยนต์เกียร์ออโต้
การดูแลรักษาเกียร์ออโต้อย่างถูกวิธีจะช่วยยืดอายุการใช้งานและลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาต่างๆ ที่อาจนำไปสู่ค่าซ่อมมหาศาล ดังนั้น มาดูกันว่ามีอะไรบ้างที่คุณไม่ควรทำกับรถเกียร์ออโต้
- การขับขี่แบบกดคันเร่งมิด (Kick Down) บ่อยๆ : การทำเช่นนี้บ่อยครั้งเพื่อเร่งแซงอย่างรวดเร็ว จะทำให้แรงบิดที่เพิ่มขึ้นไปทำความเสียหายกับชุดเกียร์ออโต้มากกว่าปกติ ส่งผลให้ชุดเกียร์พังไวขึ้น
- การเบิ้ลเครื่องแล้วเข้าเกียร์เพื่อออกตัวทันที : แม้จะช่วยให้ออกตัวได้เร็วกว่าเดิม แต่ก็สร้างความเสียหายให้แก่ชุดเกียร์ออโต้ และเพลาขับ รวมถึงยางรถยนต์อีกด้วย
- หลีกเลี่ยงการเข้าเกียร์ P ขณะรถติด หรือจอดในที่เสี่ยงถูกชน : หากเข้าเกียร์ P ไว้ สลักล็อกในชุดเกียร์จะทำงาน เมื่อเกิดอุบัติเหตุถูกชนท้ายขึ้นมา จะก่อให้เกิดความเสียหายกับชุดเกียร์ออโต้มากขึ้น
- ไม่ควรปล่อยรถไหลในเกียร์ N เป็นเวลานาน : โดยเฉพาะเมื่อปล่อยไหลลงสะพาน หรือก่อนถึงไฟแดง เพราะจะทำให้ชุดเกียร์ออโต้ ขาดน้ำมันเกียร์หล่อลื่น ทำให้เกิดความร้อนสูงและเสียหายได้
- การลากรถเกียร์ออโต้ที่เสีย ควรยกล้อขับเคลื่อนให้พ้นพื้น : หากรถเสียและจำเป็นต้องลากจูง ควรยกล้อขับเคลื่อนขึ้นให้พ้นพื้นถนน เพราะหากชุดเกียร์ออโต้ ทำงานโดยไม่มีการหล่อลื่นจากน้ำมันเกียร์ที่ปั๊มไม่ทำงาน จะเกิดการเสียดสีรุนแรงและเสียหายทันที หากไม่มีทางเลือก ให้ลากไปแบบช้าๆ ไม่เกิน 30 กม./ชม. เพื่อรีบไปหาร้านซ่อมรถยนต์ใกล้ฉันที่ใกล้ที่สุด
- เมื่อจอดรถเกียร์ออโต้บนทางลาดชัน ควรดึงเบรกมือให้สุดก่อนเข้าเกียร์ P เสมอ : เพื่อให้เบรกมือช่วยรับภาระน้ำหนักรถควบคู่กับเกียร์ P ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสียหายต่อสลักเกียร์ในระยะยาว
เทคนิคที่ควรรู้สำหรับการขับรถขึ้นเขาเมื่อใช้เกียร์ออโต้
การขับรถขึ้นเขาเกียร์ออโต้ไม่ใช่เรื่องยาก แต่มีเทคนิคที่ควรรู้เพื่อความปลอดภัย และถนอมเกียร์ออโต้
- ใช้เกียร์ต่ำ (L หรือ 1, 2, 3) : เมื่อขับขึ้นทางชัน ควรเปลี่ยนไปใช้เกียร์ต่ำ (L หรือตำแหน่งเกียร์ 1, 2, 3) เพื่อให้รถมีกำลังปีนขึ้นเขาได้ดีขึ้น และเมื่อขับลงเขา เกียร์ต่ำจะช่วยใช้ Engine Brake หน่วงความเร็ว ลดภาระของระบบเบรก
- ไม่เหยียบคันเร่งค้าง : หากเหยียบคันเร่งไม่ขึ้น เกียร์ออโต้เมื่อขึ้นเขา ควรค่อยๆ เพิ่มน้ำหนักเท้า ไม่ควรกดคันเร่งค้างไว้ เพราะอาจทำให้เกียร์ทำงานหนักเกินไป
- ระวังอาการเกียร์ค้าง : หากรู้สึกว่าอาการเกียร์ค้าง เกียร์ออโต้ ขณะขึ้นหรือลงเขา ควรจอดพักรถและตรวจสอบ หากไม่แน่ใจ ควรเรียกใช้บริการช่วยเหลือรถเสียฉุกเฉินฟรี
ขับขี่เกียร์ออโต้อย่างมั่นใจ ด้วยความคุ้มครองจาก SILKSPAN
การดูแลรักษาเกียร์ออโต้ หรือเกียร์อัตโนมัติ อาจจะต้องใส่ใจมากกว่าเกียร์ธรรมดา เพราะค่าซ่อม ค่าเปลี่ยนใหม่ ค่อนข้างที่จะแพงเอาเรื่อง ดังนั้นเมื่อถึงเวลาตรวจเช็ก หรือเช็กระยะ เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ ก็ควรที่จะทำทันที อย่าปล่อยทิ้งไว้นาน ไม่งั้นได้เสียเงินมากกว่าเดิมแน่ ๆ
สำหรับใครที่กำลังมองหาประกันภัยรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นประกันรถยนต์ชั้น 1 ,ประกันรถยนต์ 2+ หรือประกันรถยนต์ 3+ เราสามารถช่วยคุณค้นหาประกันรถยนต์ชั้น 1 ที่ไหนดี หรือเปรียบเทียบว่าประกันรถบริษัทไหนดี เช่น ประกันรถวิริยะ ,ประกันรถโตเกียวมารีน ,ประกันรถยนต์ไทยวิวัฒน์ หรือประกันรถยนต์กรุงเทพ เช็กราคา เปรียบเทียบแผน และสั่งซื้อผ่านเว็บไซต์ของพวกเราได้เลย
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
- Facebook : SILKSPAN
- Instagram : silkspan
- Line Official : @SILKSPAN
- X (twitter) : SILKSPAN
- Youtube : SILKSPAN
- TikTok : silkspan