
เปลี่ยนตัวคนขับหลังเกิดอุบัติเหตุ เสี่ยงผิดกฎหมาย โดนโทษหนักกว่าที่คิด

การเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนเป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิด แต่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา บางคนเมื่อเกิดเหตุขึ้นกลับเลือก “เปลี่ยนตัวคนขับ” หรือให้ “คนอื่นเป่าแอลกอฮอล์แทน” เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดโดยเฉพาะเมื่อมีแอลกอฮอล์ในร่างกาย แต่รู้หรือไม่ว่า การกระทำเช่นนี้ผิดกฎหมายอย่างชัดเจน และอาจส่งผลเสียมากกว่าที่คิด ทั้งทางกฎหมายและสิทธิ์ในการเคลม ประกันรถยนต์
เปลี่ยนตัวคนขับหลังเกิดอุบัติเหตุ ผิดกฎหมายอะไรบ้าง
การเปลี่ยนตัวคนขับหลังเกิดอุบัติเหตุเป็นพฤติกรรมที่หลายคนคิดว่า “ไม่มีใครรู้” แต่แท้จริงแล้วตำรวจมีวิธีสืบสวนสอบสวนอย่างละเอียด โดยเฉพาะเมื่อเกิดเหตุที่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
เป่าแอลกอฮอล์แทนคนขับ เจอคดีอาญาเต็มๆ
หากมีบุคคลอื่นที่ไม่ใช่คนขับมาสวมรอยรับผิดชอบและเป่าแอลกอฮอล์แทนผู้กระทำผิด ถือเป็นการแจ้งความเท็จต่อเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นความผิดทางอาญา มีโทษจำคุกสูงสุด 6 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากอุบัติเหตุนั้นส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บ โทษก็จะยิ่งเพิ่มความรุนแรงขึ้นไปอีก
โกหกประกันรถยนต์ เสี่ยงไม่จ่ายค่าสินไหม
หากโกหกประกันรถ หรือแจ้งบริษัทประกันรถด้วยข้อมูลเท็จ เช่น บอกว่าผู้ขับคืออีกคน เพื่อให้เคลมได้ การกระทำนี้จะทำให้ประกันไม่จ่ายค่าสินไหมทดแทน และบริษัทประกันสามารถฟ้องกลับในภายหลังได้
ประกันรถยนต์ตรวจสอบอย่างไรเมื่อสงสัยเปลี่ยนคนขับ
บริษัทประกันภัยมีทีมตรวจสอบภาคสนามและสามารถเข้าถึงข้อมูลจากตำรวจ เช่น ภาพจากกล้องวงจรปิด หรือพยานบุคคล หากพบว่าเกิดการเปลี่ยนตัวคนขับจริง อาจนำไปสู่การฟ้องร้องเพื่อเรียกคืนเงินและเพิกถอนสัญญา
บทลงโทษหนักแค่ไหน ถ้าเปลี่ยนตัวคนขับ
หลายคนอาจมองว่าการเปลี่ยนตัวคนขับหลังเกิดอุบัติเหตุเป็นเพียงการช่วยเหลือกันเล็กน้อย แต่ในทางกฎหมายแล้ว ถือเป็นการกระทำที่ร้ายแรง เพราะเป็นการปิดบังความจริง ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมได้อย่างถูกต้อง ซึ่งมีบทลงโทษทั้งใน กฎหมายอาญา และ พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ที่เข้มงวด
โทษตามกฎหมายอาญา และพ.ร.บ.จราจร
ให้ข้อมูลอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน
หากผู้ใดแสดงตนว่าเป็นผู้ขับขี่แทนผู้กระทำผิดตัวจริง หรือให้การที่เป็นเท็จต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่ว่าจะด้วยเจตนาช่วยเหลือหรือหวังผลเลี่ยงความผิด ก็เข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137
- โทษ : มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- ผลกระทบ : ประวัติคดีอาญาอาจติดตัวตลอดชีวิต มีผลต่อการสมัครงานในหลายองค์กร และอาจถูกจำกัดสิทธิ์ทางกฎหมายอื่น ๆ
ช่วยผู้อื่นให้พ้นความผิด (มาตรา 184)
ในกรณีที่บุคคลใดมีเจตนาช่วยให้ผู้กระทำความผิดพ้นจากการถูกลงโทษ เช่น รับผิดแทนเป่าแอลกอฮอล์แทน หรือให้ข้อมูลหลอกลวงในสำนวนสืบสวน ถือเป็นความผิดตามมาตรา 184 ของประมวลกฎหมายอาญา
- โทษ: จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- ข้อควรรู้: หากมีการสมรู้ร่วมคิดหลายคน โทษอาจหนักขึ้นและนำเข้าสู่การพิจารณาคดีร่วม (ร่วมกันกระทำผิด)
ฝ่าฝืนพ.ร.บ.จราจร เช่น เมาแล้วขับ
หากผู้ขับขี่ตัวจริงมีแอลกอฮอล์เกินกฎหมายกำหนด และพยายามหลบเลี่ยงด้วยการเปลี่ยนตัวคนเป่า จะเข้าข่ายทั้งฝ่าฝืนพ.ร.บ.จราจร และพยายามหลีกเลี่ยงการตรวจจับแอลกอฮอล์ ซึ่งถือเป็นความผิดซ้อนกัน
- โทษ: จำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท และอาจถูกสั่ง พักใบขับขี่หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับรถ
- ผลต่อประวัติ: ถูกบันทึกในประวัติการขับขี่ ซึ่งมีผลต่อการขอหรือต่อประกันรถยนต์ในอนาคต
เสียสิทธิ์ประกัน และถูกฟ้องย้อนหลังได้
ไม่เพียงแค่โทษทางกฎหมายที่รุนแรงเท่านั้น แต่การเปลี่ยนตัวคนขับหรือให้ข้อมูลเท็จ ยังกระทบต่อสิทธิ์การเคลมประกันรถยนต์ อย่างรุนแรงอีกด้วย
หากบริษัทประกันภัยพบว่ามีการแจ้งข้อมูลเท็จเกี่ยวกับตัวผู้ขับขี่ในขณะเกิดเหตุ จะถือว่าเป็นการฉ้อฉลประกันภัย ทำให้บริษัทสามารถ:
-
- ปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ไม่ว่าจะเป็นค่าซ่อมรถ หรือค่าชดเชยให้คู่กรณี
- เรียกเงินคืนย้อนหลัง หากเคยมีการจ่ายเงินไปแล้วก่อนตรวจสอบพบข้อเท็จจริง
ดำเนินคดีอาญาฐานฉ้อโกง ซึ่งอาจมีโทษจำคุกเพิ่มขึ้นตามกฎหมาย

ทำไมการโกหกประกันถึงเสี่ยงมากกว่าที่คิด
หลายคนอาจคิดว่า “แค่เปลี่ยนตัวคนขับนิดเดียว” หรือ “แค่พูดไม่หมด” ไม่น่าจะมีผลอะไรกับการเคลมประกัน แต่ความจริงแล้ว การให้ข้อมูลเท็จแก่บริษัทประกันภัยถือเป็นพฤติกรรมที่มีความเสี่ยงสูง และสร้างผลกระทบได้หลายมิติ ทั้งต่อสถานะของกรมธรรม์ ความรับผิดชอบทางกฎหมาย และภาระค่าใช้จ่ายที่อาจตกอยู่กับผู้เอาประกันโดยตรงในแบบที่คาดไม่ถึง
ประกันรถยนต์จะไม่จ่าย กรณีให้ข้อมูลเท็จ
ในทุกกรมธรรม์ประกันภัยจะมี “ข้อยกเว้น” หรือ “ข้อกำหนดในการแจ้งเหตุ” ที่ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า หากผู้เอาประกัน ให้ข้อมูลอันเป็นเท็จ ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของการปกปิดความจริง หรือแสดงข้อมูลที่ผิดจากความเป็นจริงในกรณีเกิดอุบัติเหตุ บริษัทประกันสามารถ:
- บอกเลิกสัญญาทันที โดยไม่ต้องแจ้งล่วงหน้า
- ปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทนในทุกกรณี
- ดำเนินคดีอาญาต่อผู้เอาประกัน หากพบเจตนาฉ้อฉล
ความเสียหายที่ต้องรับผิดชอบเองทั้งหมด
หากบริษัทประกันตรวจพบว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีการให้ข้อมูลเท็จ เช่น การเปลี่ยนตัวคนขับ หรือปิดบังสถานะเมาแล้วขับ จะส่งผลให้ผู้เอาประกันต้อง รับผิดชอบต่อความเสียหายทั้งหมดด้วยตนเอง โดยไม่มีบริษัทใดเข้ามาช่วยเหลือ
สิ่งที่ต้องรับผิดชอบเอง เช่น:
- ค่าซ่อมรถยนต์ ของทั้งรถตัวเองและรถคู่กรณี
- ค่ารักษาพยาบาล หากมีผู้ได้รับบาดเจ็บ
- ค่าชดเชย กรณีมีผู้เสียชีวิต เช่น ค่าปลงศพ ค่าขาดรายได้ให้ครอบครัวคู่กรณี
- ค่าทนายความ/ค่าศาล หากถูกฟ้องร้องแพ่ง
- ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ เช่น ค่าเสียเวลา ค่ารถลาก ค่าชดเชยความเสียหายอื่น
วิธีรับมือเมื่อเกิดอุบัติเหตุ แบบไม่ผิดกฎหมาย
สิ่งที่ควรทำทันทีหลังเกิดเหตุ
การรับมือกับอุบัติเหตุบนท้องถนนอย่างมีสติและเป็นระบบ จะช่วยลดความเสียหาย และเพิ่มโอกาสในการได้รับความคุ้มครองจากประกันรถยนต์ อย่างครบถ้วน ที่สำคัญคือไม่ทำผิดกฎหมายโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะทุกพฤติกรรมหลังเกิดเหตุอาจกลายเป็น “หลักฐาน” ที่ใช้ในชั้นศาลได้ในอนาคต
1. หยุดรถและตั้งสติทันทีที่เกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะรุนแรงหรือไม่ ผู้ขับขี่ต้องหยุดรถโดยไม่เคลื่อนย้าย และห้ามหนีเด็ดขาด เพราะการหลบหนีจากที่เกิดเหตุถือเป็นความผิดตามกฎหมาย พ.ร.บ.จราจรฯ ซึ่งอาจถูกตั้งข้อหาเพิ่มเติมได้ สิ่งสำคัญคือ ตั้งสติ หยุดหายใจลึก ๆ เพื่อไม่ให้ตกใจจนเผลอตัดสินใจผิดพลาด เช่น การหลบหนี การโทรหา “คนมาเป่าแทน” หรือการทิ้งรถ
2. แจ้งตำรวจและรอเจ้าหน้าที่มายังที่เกิดเหตุ หลังตั้งสติได้แล้ว ควรรีบ โทรแจ้งตำรวจ (191) หรือสถานีตำรวจท้องที่ เพื่อรายงานเหตุ และขอให้เจ้าหน้าที่มาตรวจสอบหน้างาน อย่าเพิ่งเคลื่อนย้ายรถจนกว่าเจ้าหน้าที่จะอนุญาต เพราะจุดที่รถหยุดจะเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญในการวิเคราะห์เหตุ
3. ถ่ายภาพหรือเก็บหลักฐาน ณ จุดเกิดเหตุทันที
ใช้มือถือถ่ายภาพมุมต่าง ๆ เช่น:
- ตำแหน่งของรถทั้งสองคัน
- รอยเบรก
- รอยเฉี่ยวชน
- ป้ายทะเบียนรถ
- สภาพถนนโดยรอบ
4. ติดต่อบริษัทประกันรถยนต์ทันที ควรรีบโทรแจ้ง บริษัทประกันภัยรถยนต์ เพื่อให้เจ้าหน้าที่มาตรวจสอบที่เกิดเหตุ โดยแจ้งข้อมูลเบื้องต้น เช่น:
- หมายเลขทะเบียนรถ
- ชื่อผู้ขับขี่
- จุดที่เกิดเหตุ และเวลาโดยประมาณ
หากคุณมีประกันรถยนต์ชั้น 1 หรือ 2+ และเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝัน ตัวแทนประกันจะรุดเข้าช่วยเหลือถึงที่ทันที ไม่ว่าจะเป็นการรวบรวมข้อมูล จัดทำรายงาน หรือประสานงานเอกสารเบื้องต้นเพื่อนำรถเข้าซ่อมแซม การชะลอการแจ้งเหตุ หรือพยายามจัดการสถานการณ์ด้วยตนเองโดยไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน อาจทำให้คุณสูญเสียสิทธิ์ในการเคลมบางอย่างได้ เช่น กรณีที่ไม่มีพยาน หรือภาพถ่าย ณ จุดเกิดเหตุ
รู้ไว้! ข้อมูลที่ควรให้กับตำรวจและประกัน
การให้ข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจและบริษัทประกัน เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วยให้คุณ ไม่ถูกตั้งข้อหาเพิ่ม และได้รับความคุ้มครองตามสัญญาประกันอย่างเต็มที่
1. ชื่อ-นามสกุลของผู้ขับขี่ ต้องตรงกับ ใบขับขี่ และไม่ควรให้ข้อมูลแทน หรืออ้างว่ามีคนอื่นเป็นคนขับ หากคุณขับเอง ควรแสดงตนและให้ข้อมูลตามจริง แม้ว่าจะอยู่ในสภาพไม่พร้อม เช่น เมาสุรา เพราะการโกหกเจ้าหน้าที่จะกลายเป็นข้อหาที่หนักกว่า
2. สำเนาใบขับขี่ หากมีใบขับขี่ติดตัว ให้แสดงแก่เจ้าหน้าที่และบริษัทประกันทันที หากลืม ควรแจ้งหมายเลขบัตรขับขี่ และระบุวันหมดอายุเพื่อให้ตรวจสอบได้เร็วขึ้น
3. บัตรประจำตัวประชาชน เป็นเอกสารยืนยันตัวตนที่สำคัญ ช่วยให้การลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจและในการเปิดเคลมของบริษัทประกันเป็นไปอย่างรวดเร็ว แนะนำให้ถ่ายรูปเก็บไว้ในโทรศัพท์ด้วย เผื่อกรณีฉุกเฉิน
4. พยานในที่เกิดเหตุ หากมี ผู้เห็นเหตุการณ์ เช่น คนขับรถคันอื่น หรือคนที่อยู่ในบริเวณนั้น ควรสอบถามและขอเบอร์ติดต่อไว้ รวมถึงชื่อ-นามสกุล (ถ้ายินดีให้) เพื่อใช้เป็น พยานประกอบคำให้การ ซึ่งช่วยเพิ่มน้ำหนักให้กับคำชี้แจงของคุณ
ถ้าคนขับเมาจริง ควรทำอย่างไรให้กระทบน้อยที่สุด
การขับรถในขณะมึนเมาเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายชัดเจน และมีโทษรุนแรงทั้งทางอาญาและทางแพ่ง อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์ได้เกิดขึ้นแล้ว การ “โกหก” หรือ “เปลี่ยนตัวคนเป่า” ยิ่งจะทำให้เรื่องราวบานปลาย เพราะเข้าข่ายความผิดเพิ่มเติมหลายกระทง ทั้งแจ้งความเท็จ ช่วยผู้อื่นให้พ้นความผิด และฉ้อโกงประกันภัย
ทางออกที่ดีที่สุดคือการ เผชิญหน้ากับความจริง และใช้กระบวนการทางกฎหมายอย่างถูกต้อง เพื่อ “ลดผลกระทบ” ให้ได้น้อยที่สุด โดยเฉพาะผลกระทบในระยะยาวที่อาจติดตัวไปตลอดชีวิต
1. ให้การตามความจริง โดยไม่หลบหนี
หากคุณเป็นผู้ขับรถขณะมึนเมาจริง ควร:
- ยอมรับต่อเจ้าหน้าที่ตั้งแต่แรกว่าเป็นผู้ขับ
- ไม่หลบหนีออกจากที่เกิดเหตุ
- ไม่เปลี่ยนตัวเป่าแอลกอฮอล์
- ไม่ชี้แจงเท็จต่อเจ้าหน้าที่หรือบริษัทประกัน
แม้จะมีโทษทางกฎหมายแน่นอน แต่การให้ความร่วมมือเต็มที่กับเจ้าหน้าที่จะช่วยให้คุณได้รับ “ความเมตตา” จากศาลในการพิจารณาลงโทษ โดยเฉพาะหากเป็นความผิดครั้งแรก และไม่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต การโกหก ไม่เพียงแต่ทำให้คุณถูกฟ้องในคดีเมาแล้วขับ แต่ยังเพิ่มคดีแจ้งความเท็จ ช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นผิด และฉ้อโกงบริษัทประกัน ซึ่งมีโทษหนักกว่าเดิมหลายเท่า
2. ติดต่อทนายความทันที
ทันทีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งข้อหาหรือมีการเชิญตัวไปสอบสวน ควรรีบติดต่อทนายความเพื่อเข้าร่วมในกระบวนการให้การ
- ทนายสามารถช่วยให้คำแนะนำในการให้ถ้อยคำอย่างเหมาะสม
- ช่วยวางแนวทางในการต่อสู้คดี ลดความเสี่ยงจากการให้การที่ผิดพลาด
- ช่วยติดต่อประกันภัยให้เข้าใจข้อเท็จจริงอย่างครบถ้วน เพื่อลดโอกาสเสียสิทธิ์
3. รวบรวมเอกสารและหลักฐานที่ช่วยบรรเทาโทษ
แม้คุณจะเมาจริง แต่การมีหลักฐานแสดง “ความรับผิดชอบหลังเกิดเหตุ” สามารถใช้ประกอบในศาลเพื่อขอ “บรรเทาโทษ” ได้ เช่น:
- ใบเสร็จค่าเสียหายที่ชดเชยกับคู่กรณี
- เอกสารแสดงการเข้าบำบัดแอลกอฮอล์ (กรณีมีปัญหาเรื้อรัง)
- หนังสือรับรองการทำงาน หรือหนังสือรับรองพฤติกรรมดีจากนายจ้าง
4. ติดต่อบริษัทประกันอย่างตรงไปตรงมา
แม้การเมาแล้วขับจะอยู่ใน “ข้อยกเว้น” ของ ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ซึ่งมักไม่ครอบคลุมค่าเสียหายหากผู้ขับเมา แต่การติดต่อประกันโดยเปิดเผยความจริงตั้งแต่แรก จะช่วยให้คุณ:
- ยังสามารถใช้บริการ “ช่วยเหลือฉุกเฉิน” หรือการลากรถได้ตามปกติ
- ได้รับคำแนะนำด้านเอกสารและการดำเนินเรื่องในส่วนที่ยังใช้สิทธิ์ได้ เช่น การซ่อมรถโดยออกค่าใช้จ่ายเองแต่ผ่านศูนย์ที่ประกันแนะนำ
- ไม่ถูกบันทึกประวัติว่า “แจ้งข้อมูลเท็จ” ซึ่งอาจส่งผลต่อการต่อประกันในปีถัดไป
สรุป
การเปลี่ยนตัวคนขับ หรือให้ ผู้อื่นเป่าแอลกอฮอล์แทน หลังเกิดอุบัติเหตุอาจดูเป็นทางลัดในการหลีกเลี่ยงความผิด แต่ในความเป็นจริงแล้ว กลับเป็นการเปิดประตูให้ตนเองเผชิญโทษหนักทั้งทางอาญาและทางแพ่ง เสี่ยงต่อการสูญเสียสิทธิ์ประกันรถยนต์ และต้องรับผิดชอบค่าเสียหายทั้งหมด
อย่าลืมว่า “โกหกประกันรถ” ไม่ใช่เรื่องเล็ก และอาจเปลี่ยนชีวิตคุณไปตลอดกาล
หากต้องการความอุ่นใจในการขับขี่ ควรทำประกันรถยนต์ที่เชื่อถือได้ และขับขี่อย่างมีสติ เพราะเมื่อเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นมา ความซื่อตรงจะเป็นเกราะคุ้มภัยที่ดีที่สุด