การันตีเช็กเบี้ยประกันรถถูกลง 30%

7 วิธี ขับรถอย่างไรให้ช่วยให้คุณประหยัดน้ำมันขึ้นในช่วงน้ำมันแพง ฉบับ 2566


ขับรถอย่างไรให้ช่วยให้คุณประหยัดน้ำมันขึ้นในช่วงน้ำมันแพง

        ปัญหาที่ใหญ่อีกหนึ่งปัญหาสำหรับคนใช้รถก็คือ ปัญหาน้ำมันแพง และน้ำมันขึ้นราคา ยิ่งในช่วงที่ราคาน้ำมันทะยานตัวสูงขึ้นอยู่ทุกขณะ การมีประกันรถยนต์ก็อาจช่วยลดค่าใช้จ่ายในยามที่เกิดอุบัติเหตุได้แล้ว แต่การประหยัดค่าใช้จ่ายด้วยการประหยัดน้ำมัน ก็เป็นอีกปัจจัยที่สามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายลงได้เช่นกัน ซึ่งการที่ค่าน้ำมันขึ้นราคาแบบนี้ก็เป็นอีกสถานการณ์ที่สร้างความลำบากให้กับผู้ขับขี่อย่างแน่นอน เลี่ยงที่จะไม่ใช้ขับรถยนต์ก็เป็นไปได้อย่างยาก ค่าน้ำมันต่อเดือนในบางครั้งก็สูงจนน่าใจหาย และส่งผลกระทบเป็นอย่างยิ่งกับค่าใช้จ่ายรายเดือน SILKSPAN ขอแนะนำเคล็ดลับเล็กๆ เกี่ยวกับการขับขี่ และดูแลรถยนต์ที่ถูกวิธีแบบไม่ต้องง้อประกันรถยนต์ชั้น 1 จะช่วยให้คุณเซฟเงิน และช่วยประหยัดน้ำมันได้เพิ่ม 5-25% 

 

1.ขับขี่ด้วยความเร็วให้เหมาะสม และสม่ำเสมอ

        หลายคนมักมีความเข้าใจว่า ยิ่งขับรถช้าเท่าไหร่ก็จะยิ่งประหยัดน้ำมันได้มากขึ้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว การขับขี่ที่ช้าเกินไปก็ไม่ได้ช่วยทำให้ประหยัดน้ำมันเยอะขึ้น ตามปกติแล้ว รถยนต์โดยทั่วไปมีประสิทธิการเผาผลาญเชื้อเพลิงที่ความเร็วคงที่ที่ประมาณ 80-90 กิโลโมตร/ชั่วโมง ร่วมกับการขับขี่โดยใช้เกียร์ที่เหมาะสมไปตลอดเส้นทาง จะช่วยให้ลดอัตราการใช้เชื้อเพลิง และประหยัดน้ำมันได้ถึง 10-20% และที่สำคัญยังช่วยยืดอายุการใช้งานรถยนต์ของคุณได้ด้วย

อัตราความเร็วมีผลต่อการสิ้นเปลืองน้ำมันที่แตกต่างกัน

  • ขับด้วยความเร็ว 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง แทนการขับด้วยความเร็ว 95 กิโลเมตร/ชั่วโมง ช่วยประหยัดน้ำมันได้ถึง 15 %
  • ขับด้วยความเร็ว 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง แทนการขับด้วยความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง ช่วยประหยัดน้ำมันได้ถึง 29 %
  • ขับด้วยความเร็ว 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง แทนการขับด้วยความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ช่วยประหยัดน้ำมันได้ถึง 10 %
  • ขับด้วยความเร็ว 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง แทนการขับด้วยความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง ช่วยประหยัดน้ำมันได้ถึง 25 %

 

2.ตรวจเช็กรถยนต์ให้อยู่ในสภาพพร้อมขับ

        สำหรับผู้ที่ใช้งานรถยนต์ การหมั่นตรวจเช็กเครื่องยนต์ให้อยู่ในสภาพพร้อมขับอยู่เสมอ เปลี่ยนอะไหล่ต่างๆ ตามอายุการใช้งานที่กำหนด ก็จะช่วยให้รถยนต์อยู่ในสภาพที่พร้อมขับขี่อยู่ตลอดเวลา ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดการเสื่อม หรือเสียของอะไหล่ต่างๆ โดยไม่ทันได้ตั้งตัว และการหมั่นเช็กสภาพรถยนต์ให้พร้อมขับขี่อยู่เสมอนั้น ก็ยังช่วยยืดอายุการใช้เครื่องยนต์ให้ยาวนานยิ่งขึ้น ในช่วงที่น้ำมันแพงนี้ การตรวจเช็กสภาพรถให้อยู่ในสภาพที่ดีอยู่เสมอก็จะช่วยประหยัดน้ำมันได้มากขึ้นอีกด้วย และยังสามารถช่วยประหยัดน้ำมันได้ถึง 5-10% ด้วยการเช็กสภาพรถยนต์ดังนี้

ตรวจเช็กลมยาง

        ให้ยางรถยนต์อยู่ระดับที่เหมาะสมกับการขับขี่ ไม่ควรเติมลมยางจนแข็งมากเกิด ก็อาจเสี่ยงต่อการระเบิด และยึดเกาะถนนได้น้อย เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ แต่การะที่ปล่อยให้ลมยางอ่อนเกินไปก็จะทำให้เกิดการเสียดทานระหว่างตัวยางกับพื้นถนนเพิ่มขึ้น และทำให้เครื่องยนต์รับหน้าที่ในการหมุนล้อเกินความจำเป็น และทำให้เกิดการเผาผลาญที่มากขึ้นนั่นเอง ถ้ามีการตรวจเช็กลมยางให้อยู่ในสภาพดีก็จะสามารถช่วยประหยัดน้ำมันลดลงได้

ตรวจเช็กระบบระบายความร้อน

        เช็กระบบระบายความร้อนของตัวรถ และรอบเครื่องเดินเบา ให้อยู่สภาพปกติ ถ้าหากเกิดความผิดปกติก็จะเป็นสาเหตุให้รถยนต์เกิดการเผาผลาญน้ำมันที่มากเกินไปเช่นกัน

ปรับตั้งจุดระเบิด

        หมั่นเช็ก และปรับตั้งจุดระเบิดให้ถูกต้องอยู่เสมอ หัวเทียนอยู่ในสภาพที่ดี ไม่เสื่อม ไส้กรองอากาศไม่ตัน จะช่วยให้รถยนต์เกิดการเผาผลาญอย่างมีประสิทธิภาพ

เปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะเวลาที่กำหนดช่วยประหยัดน้ำมัน

        น้ำมันเครื่องโดยปกติแล้วควรเปลี่ยนทุกประมาณ 6 เดือน ถึงแม้ว่ารถยนต์ของคุณอาจไม่ได้ใช้งานบ่อยๆ แต่การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องก็ยังเป็นสิ่งที่จำเป็น รถยนต์ที่ไม่สตาร์ทมาเป็นเวลานาน อาจทำให้เครื่องยนต์เกิดสนิม การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องไม่จำเป็นจะต้องรถจนครบตามรอบระยะทาง หรือระยะเวลา ถ้าหากพบความผิดปกติ เช่น น้ำมันมีสีที่ผิดปกติ หรือมีปริมาณที่ลดลง ก็สามารถนำรถไปตรวจสอบ และเปลี่ยนน้ำมันเครื่องได้ เพื่อรักษาประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องยนต์ให้อยู่ในสภาพที่ดีตลอดเวลา

 

3.ปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้เหมาะสม 

        ตั้งปรับอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศในรถยนต์ในรถยนต์ให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสม โดยประมาณที่ 23-25 องศาเซลเซียส ประเทศไทยมีสภาพอากาศที่ร้อน เมื่อขึ้นรถมาก็หวังที่จะอยู่ในที่ที่เย็นสภาพ แต่การปรับอุณหภูมิให้เย็นจนเกินไป หรือเร่งให้เย็นเร็วขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะการเปิดเครื่องปรับอากาศในทันทีที่ทำการสตาร์ทรถ ก็จะทำให้คอมเพรสเซอร์ และเครื่องยนต์ทำงานหนัก 

        หากเลือกปรับให้เหมาะสม และใช้การเปิดหน้าต่างเพื่อระบายความร้อนในช่วงแรกที่ทำการขึ้นรถมา ก็จะทำให้เครื่องยนต์ไม่ทำงานหนัก และใช้พลังงานจนมากเกินไป จะช่วยให้ประหยัดน้ำมันได้ถึง 10-15%

 

4.ไม่เร่งเครื่องขณะออกตัว

        ผู้ขับขี่บางรายอาจมีพฤติกรรมการขับขี่ในการเร่งเครื่องแบบกระชากในขณะที่กำลังออกตัว พฤติกรรมเหล่านี้เสี่ยง นอกจากจะทำให้เป็นการสิ้นเปลืองพลังงาน ไม่ประหยัดน้ำมันแล้ว และน้ำมันโดยใช่เหตุแล้ว ยังทำให้เครื่องยนต์เกิดความเสียหายได้เร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิม

        การเร่งเครื่องยนต์ในขณะที่ออกตัว เป็นสาเหตุที่ทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักมากขึ้น เครื่องยนต์ก็จะเกิดการสึกหรอได้เร็วยิ่งขึ้น ยิ่งขับเร่งเท่าไหร่ ยิ่งขับกระชากเท่าไหร่ก็จะยิ่งทำให้เครื่องยนต์ชำระได้เร็วขึ้น และยังเป็นสาเหตุที่จะเกิดอุบัติเหตุได้เพิ่มขึ้นถึง 30% รวมไปถึงการทำให้เกิดควันดำที่เกิดขึ้นในขณะที่เกิดการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ ส่งผลให้เกิดมลพิษตามมาอีกด้วย การออกตัวแบบไม่เร่งเครื่องช่วยประหยัดน้ำมันได้ถึง 5%

 

ขับรถอย่างไรให้ประหยัดน้ำมันขึ้น

 

5.เบรกกะทันหัน

        การเบรกกระทันหัน แบบหนักๆ และบ่อยๆ เพิ่มอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้มากขึ้นกว่าเดิมถึง 40% ควรตั้งสติในขณะขับขี่ทุกครั้ง สังเกตสิ่งรอบข้าง และการจราจรรอบรถ ทุกครั้งที่ทำการเบรกอย่างกระทันหัน เมื่อทำการขับต่อก็จำเป็นจะต้องเร่งเครื่องเพิ่มความเร็ว ยิ่งทำพฤติกรรมนี้บ่อยๆ นอกจากจะทำให้ผ้าเบรกบางเร็วขึ้นแล้ว ก็จะทำให้เปลืองน้ำมันมากขึ้นด้วยเช่นกัน ควรขับขี่อย่างรอบคอบเพื่อวางแผนการขับขี่ให้เหมาะสม เพื่อประเมิน และรับมือกับสถานการณ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้แบบทันท่วงที และไม่เกิดการเบรกแบบกระทันหันบ่อยๆ ก็จะสามารถช่วยประหยัดน้ำมันได้ถึง 5%

ประกันรถยนต์ชั้น 1 เริ่มต้นเพียง 750

 

6.ไม่บรรทุกของที่น้ำหนักมากเกินไป

        รถยนต์โดยทั่วไปมีน้ำหนักที่ประมาณ 900-1,000 กิโลกรัม แต่โดยเฉลี่ยแล้วรถยนต์ในแต่รุ่นสามารถรับน้ำหนักได้ตั้งแต่ 400 กิโลกรัมขึ้นไป หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 50% ของน้ำหนักรถยนต์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การที่รถยนต์ของคุณสำหรับบรรทุกสิ่งของได้เยอะ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องบรรทุกสิ่งของให้ได้เยอะตลอดเวลา 

        เมื่อรถยนต์มีการบรรทุกสิ่งของ และร่วมไปถึงผู้โดยสารที่มากขึ้น ก็จะยิ่งทำให้เครื่องยนต์ต้องใช้พลังงานในการขับเคลื่อนมากขึ้นเพื่อให้ได้ความเร็วตามที่ต้องการ การเก็บสัมภาระเท่าที่จำเป็นไว้ในรถ และไม่บรรทุกสิ่งของที่มีน้ำหนักมากเกินไปก็จะช่วยให้ประหยัดน้ำมันได้ถึง 15-25%

 

7.วางแผนการเดินทางเพื่อหลีกเลี่ยงรถติด

        การขับขี่รถยนต์เช่นการขับขี่ในเมือง การวางแผนเส้นทาง และเวลาในการออกตัวก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยในการประหยัดน้ำมัน ในบางครั้งหากไม่ได้วางแผนการเดินทางไว้ล่วงหน้า ก็อาจทำให้เจอกับการปิดซ่อมถนน หรือลดเลนจราจรลง ซึ่งก็จะยิ่งทำให้ต้องเสียเวลาในการเดินทางมากขึ้น และที่สำคัญการจอดรถติดไฟแดงเป็นเวลานาน ก็จะทำให้รถยนต์ต้องทำงานเกินหน้าที่อีกด้วย

        และสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวไปต่างจังหวัดในช่วงเทศกาล เช่น ปีใหม่ ตรุษจีน และสงกรานต์ การเดินทางไปยังจุดหมายยอดฮิต ก็จะทำให้รถยนต์ทุกคันที่มุ่งหน้าไปที่เดียวกันเกิดการรถติด จนอาจทำให้ล้าช้ากว่ากำหนด จากการเดินทาง 3 ชั่วโมง อาจจะทำให้คุณติดอยู่บนถนนนานถึง 5-6 ชั่วโมงเลยทีเดียว

        การวางแผนเส้นทางในการขัขี่ และกำหนดเวลาในการเดินทางล่วงหน้า รวมไปถึงการศึกษาเส้นทางเพิ่มเติมในกรณีที่ต้องเดินทางออกไปต่างจังหวัด หรือเดินทางไปสถานที่ และเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย ก็จะช่วยประหยัดเวลาในการเดินทาง และประหยัดน้ำมันลงได้อีกด้วย

        แค่เพียงปฏิบัติตาม 7 วิธี ขับรถอย่างไรให้ช่วยให้คุณประหยัดน้ำมันขึ้น ฉบับ 2566 เท่านั้น ก็จะสามารถช่วยให้คุณประหยัดน้ำมัน ประหยัดเงิน ในช่วงที่น้ำมันแพง ช่วยให้เกิดประสิทธิภาพในการใช้รถ และขับขี่ได้ดียิ่งขึ้น แถมยังช่วยยืดอายุการใช้งานรถยนต์ และเครื่องยนต์ให้อยู่สภาพที่ดี เป็นปกติพร้อมใช้งานต่อไปด้วยอีกเช่นกัน

 


เขียนโดย : Ecomoney
เผยแพร่วันที่ : 20/01/2023
โปรโมชั่นแนะนำ
“เช็กเบี้ยประกันรถ เซฟกว่าเดิม 30%”

กำลังโหลด