
ภาษีรถยนต์ คิดจากอะไร คำนวณเองได้หรือไม่?

เมื่อพูดถึงการเป็นเจ้าของรถ ภาษีรถยนต์ ถือเป็นหนึ่งในค่าใช้จ่ายประจำปีที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่หลายคนอาจเกิดคำถามว่าว่า ภาษีรถยนต์คิดจากอะไร? แล้วสามารถคำนวณภาษีรถยนต์เองได้หรือไม่? เพราะรถแต่ละชนิดก็มีภาษีรถยนต์ที่ต่างกัน ดังนั้น ในบทความนี้จะพามาทำความเข้าใจโครงสร้างภาษีรถยนต์แบบเจาะลึก พร้อมแนวทางการคำนวณที่เจ้าของรถทุกคนสามารถนำไปลองใช้ได้กัน
ภาษีรถยนต์คืออะไร? ทำไมทุกคนต้องจ่าย
ทุกปีเจ้าของรถต้องชำระภาษีรถยนต์ หรือที่เรียกันว่าเป็นค่าต่อทะเบียนรถ เพื่อให้ทางภาครัฐไปใช้พัฒนาเส้นทางและระบบขนส่งภายในประเทศ ซึ่งการจ่ายภาษีรถยนต์นั้นถือเป็นระเบียบข้อบังคับตามกฏหมาย หากละเลยหรือขาดต่อภาษีมีโทษปรับและอาจถูกระงับทะเบียนรถได้ การจ่ายภาษีรถยนต์จึงเป็นหน้าที่ที่เจ้าของรถทุกคนต้องปฏิบัติ
ความสำคัญของภาษีรถยนต์
การจ่ายภาษีรถยนต์ไม่ใช่เพียงแค่ภาระตามกฎหมาย แต่ยังเป็นการช่วยพัฒนาประเทศในด้านการขนส่ง การปรับปรุงซ่อมแซมเพื่อดูแลถนนสายต่าง ๆ การติดสัญญาณไฟและป้ายจราจรเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน หากไม่ชำระภาษีรถยนต์ตามกำหนด อาจส่งผลให้ไม่สามารถต่อทะเบียนรถได้ และอาจถูกปรับได้เช่นกัน
ใครบ้างที่ต้องเสียภาษีรถยนต์
ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของรถยนต์ส่วนบุคคล รถรับจ้าง หรือรถเพื่อการพ าณิชย์ หากมีการจดทะเบียนรถและใช้งานบนถนน “จำเป็นต้องเสียภาษีรถยนต์ทั้งสิ้น” ยกเว้นในบางกรณี เช่น รถที่จอดทิ้งไว้โดยไม่ใช้งานและแจ้งหยุดใช้งานกับกรมขนส่งอย่างเป็นทางการแล้วเท่านั้น แต่กรณีหลังหากนำรถไปใช้งานก็จะถือว่ามีความผิดทันที
ปัจจัยหลักที่ใช้ในการคำนวณภาษีรถยนต์
หากต้องการคำนวณภาษีรถยนต์เอง ขั้นตอนแรกจำเป็นต้องรู้ก่อนว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ใช้ในการคิดอัตราภาษี ซึ่งหลัก ๆ แล้วจะพิจารณาจาก 5 ปัจจัยดังนี้
ขนาดความจุกระบอกสูบ (cc)
สำหรับรถยนต์ทั่วไปซึ่งเป็นรถยนต์ส่วนบุคคลไม่เกิน 7 ที่นั่ง เช่น รถเก๋ง รถกระบะ ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป ภาษีจะคำนวณจากขนาดความจุของเครื่องยนต์ (cc) ซึ่งยิ่งเครื่องยนต์มีขนาดใหญ่ หรือ ซีซีสูง ภาษีก็ยิ่งสูงตามอัตราที่กรมขนส่งกำหนด เช่น 1-600cc คิดอัตรา 0.50บาท/cc, 601-1,800cc คิดอัตรา 1.50บาท/cc, 1,801cc ขึ้นไปคิดอัตรา 4บาท/cc
อายุการใช้งานของรถยนต์
ภาษีรถยนต์จะลดลงตามอายุการใช้งาน โดยกรมขนส่งจะมีการลดหย่อนภาษีตามเปอร์เซ็นต์ที่กำหนด เช่น รถอายุ 6 ปีขึ้นไป จะได้ลดหย่อนภาษี 10% และอายุรถที่นานกว่า 6 ปี ก็จะถูคิดส่วนตามอัตราเฉพาะที่ระบุไว้
ประเภทของรถ (เก๋ง กระบะ รถตู้ ฯลฯ)
รถแต่ละประเภทมีวิธีการคำนวณภาษีต่างกัน เช่น รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 ที่นั่ง รถกระบะ หรือรถตู้ จะใช้เกณฑ์ต่างกัน บางประเภทไม่คิดตาม cc แต่คิดตามน้ำหนักหรือประเภทการใช้งานแทน เช่น รถบรรทุก หรือรถจักรยานยนต์
พลังงานที่ใช้ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า (EV)
รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) จะได้รับการยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีตามนโยบายส่งเสริมพลังงานสะอาด โดยอัตราภาษีจะไม่เท่ากับรถเครื่องยนต์สันดาป ควรตรวจสอบกับกรมขนส่งว่าช่วงเวลาที่ใช้งานได้รับสิทธิพิเศษอะไรบ้าง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะคิดตามน้ำหนักรถ เช่น ไม่เกิน 500 กก. คิดอัตรา 150 บาท/ปี
อัตราภาษีตามประกาศกรมการขนส่งทางบก
กรมขนส่งมีการกำหนดอัตราภาษีไว้ชัดเจนตามลักษณะของรถ โดยสามารถดูประกาศล่าสุดได้ที่เว็บไซต์ของกรมการขนส่งทางบก หรือสามารถสอบถามเจ้าหน้าที่เมื่อไปต่อทะเบียนรถ

วิธีคำนวณภาษีรถยนต์เบื้องต้น
หลายคนอาจสงสัยว่าแล้วถ้าอยากทราบอัตราที่ต้องจ่ายจะรู้ได้อย่างไรว่า ภาษีรถยนต์คำนวณอย่างไร ซึ่งต้องบอกว่าสามารถคำนวณเองได้ไม่ยาก แค่มีข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับรถของคุณ เช่น cc, อายุรถ, และประเภทของรถ ก็สามารถคำนวณได้เบื้องต้นแล้ว
ตารางคำนวณภาษีตามขนาด cc
เพื่อให้ง่ายต่อการคำนวณภาษีรถยนต์ ลองใช้อัตราจากตารางคำนวณต่อไปนี้
ช่วงขนาด (cc) |
อัตรา/cc |
1–600 |
0.50 บาท |
601–1,800 |
1.50 บาท |
1,801 ขึ้นไป |
4.00 บาท |
การคิดอัตราลดหย่อนจากอายุรถยนต์
ในส่วนของการคิดอัตราลดหย่อนภาษีที่ใช้พิจารณาตามอายุรถยนต์ จะถูกคิดเมื่อรถยนต์มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป โดยมีอัตรา ดังนี้
อายุรถ (ปี) |
ส่วนลด (%) |
1–5 |
ไม่มี |
6 |
10 |
7 |
20 |
8 |
30 |
9 |
40 |
10 ขึ้นไป |
50 |
ตัวอย่างการคำนวณภาษีรถยนต์
เพื่อให้สามารถคำนวณภาษีรถยนต์เองได้ง่ายยิ่งขึ้น ลองมาดูตัวอย่างในการคำนวณภาษีรถยนต์ที่เราทำมาให้ 2 ตัวอย่างต่อไปนี้กัน
ตัวอย่างที่ 1 : รถยนต์ 1,600cc อายุ 8 ปี
- 600cc แรกคิดเป็นอัตรา 600 × 0.50 = 300 บาท
- 1,000cc คิดเป็นอัตรา 1,000 × 1.50 = 1,500 บาท
- รวมภาษีรถยนต์ที่ต้องชำระ = 1,800 บาท
- เนื่องจากเป็นรถที่อายุการใช้ 8 ปี รับส่วนลดอายุ 30% คิดเป็น 1,800 × 0.3 = 540 บาท
- ภาษีสุทธิที่ต้องจ่ายจริงคือ 1,800 – 540 = 1,260 บาท
ตัวอย่างที่ 2 : รถยนต์ไฟฟ้า (EV) น้ำหนัก 900กก.
- อัตราภาษีคิดตามน้ำหนักรถ คือ 450บาท/ปี
สรุปภาษีรถยนต์ไม่ใช่เรื่องยาก แค่รู้ปัจจัยก็เตรียมพร้อมได้
เห็นได้ว่าการคำนวณภาษีรถยนต์ ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนหรือยุ่งยาก แค่รู้ขนาด cc, อายุรถ, ประเภท และเช็กอัตราที่กรมขนส่งประกาศไว้ ก็สามารถคำนวณเองได้ง่าย ๆ ที่บ้าน ช่วยให้คุณวางแผนการเงินได้ดีขึ้นเมื่อใกล้ถึงรอบการต่อทะเบียนรถยนต์
นอกจากภาษีรถยนต์แล้ว อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่เจ้าของรถควรใส่ใจคือ ประกันภัยรถยนต์ เพราะแม้จะชำระภาษีครบแล้ว แต่หากไม่มีประกันภัย โดยเฉพาะภาคสมัครใจอย่างประกันชั้น 1 หรือประกันชั้น 2+ ก็อาจไม่ครอบคลุมกรณีอุบัติเหตุหรือความเสียหายที่เกิดขึ้น การมีประกันดี ๆ จะช่วยให้คุณขับขี่อุ่นใจยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเดินทางใกล้หรือไกล และไม่ต้องกังวลในเรื่องค่าใช้จ่ายอีกด้วย