
น้ำมันมีกี่ประเภท? แบบไหนเหมาะกับรถของเรา

ก่อนเติมน้ำมันแต่ละครั้ง รู้หรือกว่าแต่ละประเภทที่เหมาะกับรถคือรถได้อย่างถูก ต้องเริ่มเจ้าข้อมูลรถ และเลือกให้ชนิดที่เหมาะกับรถ
น้ำมันแต่ละประเภทคืออะไร?
น้ำมันรถยนต์ไม่ได้มีแค่ชนิดเดียว แต่แบ่งออกเป็นหลายประเภท โดยแต่ละชนิดเหมาะกับเครื่องยนต์ที่แตกต่างกัน การเข้าใจคุณสมบัติของน้ำมันแต่ละแบบจึงเป็นสิ่งสำคัญก่อนการเลือกใช้
น้ำมันในประเทศไทยสามารถแบ่งออกตามเชื้อเพลิงหลัก ได้แก่ เบนซิน แก๊สโซฮอล์ และดีเซล โดยแต่ละชนิดจะมีการผสมสารหรือดัดแปลงในระดับที่ต่างกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเผาไหม้ และบางชนิดยังช่วยลดมลภาวะ เช่น น้ำมันดีเซลสูตร B10 หรือ B20 ที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ขณะที่แก๊สโซฮอล์ก็เป็นเชื้อเพลิงทางเลือกที่ใช้พลังงานจากชีวภาพอย่างเอทานอลร่วมด้วย
การเติมน้ำมันที่เหมาะสมจึงควรคำนึงถึงทั้งความสามารถของเครื่องยนต์ อายุการใช้งาน และต้นทุนระยะยาว เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากรถของคุณ
น้ำมันเบนซิน 91 และ 95
น้ำมันเบนซินยังคงเป็นเชื้อเพลิงหลักสำหรับรถยนต์หลายคัน โดยเฉพาะรุ่นที่ไม่รองรับ แก๊สโซฮอล์ หรือเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเอทานอล ข้อดีของน้ำมันเบนซินคือความบริสุทธิ์ที่ช่วยยืดอายุการใช้งานของส่วนประกอบในระบบเชื้อเพลิง เช่น ท่อ ยาง และหัวฉีด ที่มักจะอ่อนไหวต่อแอลกอฮอล์
น้ำมันเบนซินมีจำหน่ายสองเกรดหลักคือ 91 และ 95 ซึ่งแตกต่างกันที่ค่าออกเทน โดยเบนซิน 95 เหมาะสมยิ่งสำหรับเครื่องยนต์ประสิทธิภาพสูงที่ต้องการความทนทานต่อแรงอัด เช่น รถยุโรปหรือรถสปอร์ต การเลือกใช้เบนซินเกรดสูงช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้เต็มศักยภาพ ลดปัญหาการน็อค และรักษาสภาพระบบเชื้อเพลิงให้คงประสิทธิภาพในระยะยาวเบนซิน 91 เป็นตัวเลือกพื้นฐานที่ยังพบได้ตามสถานีบริการ แม้จะเริ่มถูกแทนที่ด้วยแก๊สโซฮอล์ในหลายพื้นที่ ขณะที่เบนซิน 95 เหมาะสำหรับรถสมรรถนะสูง เช่น รถสปอร์ตหรือรถยุโรปที่ต้องการการเผาไหม้ที่แม่นยำและร้อนน้อยลง เบนซินบริสุทธิ์ไม่มีส่วนผสมของเอทานอล ทำให้ไม่ทำปฏิกิริยากับยางหรือชิ้นส่วนพลาสติกในระบบเชื้อเพลิง จึงเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ที่ต้องการดูแลเครื่องยนต์ระยะยาว
แก๊สโซฮอล์ E10, E20 และ E85
แก๊สโซฮอล์เป็นน้ำมันที่ผสมเอทานอลเข้ากับเบนซินในสัดส่วนต่าง ๆ เช่น:
- E10: ผสมเอทานอล 10% ใช้ได้กับรถยนต์ส่วนใหญ่ในตลาด
- E20: ผสมเอทานอล 20% ต้องเป็นรถที่ระบุรองรับจากโรงงาน
- E85: ผสมเอทานอล 85% เหมาะสำหรับรถ Flex Fuel Vehicle (FFV) เท่านั้น
ข้อดีของแก๊สโซฮอล์คือราคาถูกกว่าเบนซินบริสุทธิ์ และมีส่วนช่วยลดการพึ่งพาน้ำมันดิบ เนื่องจากเอทานอลสามารถผลิตได้จากพืชผลการเกษตร เช่น อ้อย หรือมันสำปะหลัง อย่างไรก็ตาม รถที่ใช้แก๊สโซฮอล์ต้องมีระบบเชื้อเพลิงที่รองรับการกัดกร่อนของเอทานอล และควรดูแลถังน้ำมันไม่ให้เกิดการสะสมของน้ำที่อาจเจือปนจากเอทานอลซึ่งดูดซับความชื้นได้ง่าย
E85 เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่วิ่งระยะทางไกลเป็นประจำ หากรถรองรับการใช้งาน จะช่วยประหยัดเงินในระยะยาว แม้ต้องเติมบ่อยกว่าก็ตาม
น้ำมันดีเซล และดีเซล B7, B10, B20
ดีเซลใช้กับเครื่องยนต์ดีเซล เช่น รถกระบะ รถตู้ หรือ SUV ขนาดใหญ่ โดยมีการพัฒนาน้ำมันดีเซลชนิดพิเศษ:
- B7: ผสมไบโอดีเซล 7% เป็นมาตรฐานทั่วไป
- B10: เป็นทางเลือกใหม่ที่ช่วยลดมลภาวะมากขึ้น
- B20: ผสมไบโอดีเซลสูงสุด เหมาะสำหรับรถเชิงพาณิชย์ที่ระบุรองรับจากโรงงาน
ไบโอดีเซลเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพที่ผลิตจากน้ำมันพืชหรือน้ำมันที่ผ่านกระบวนการแปรรูป จึงเป็นพลังงานสะอาด ช่วยลดเขม่าควันและลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ แต่ข้อควรระวังคือ B20 อาจไม่เหมาะกับรถรุ่นเก่าหรือเครื่องยนต์ดีเซลแบบคอมมอนเรลที่ไม่ได้รับการออกแบบให้ใช้ไบโอดีเซลในระดับสูง
ควรตรวจสอบว่ารถของคุณรองรับ B10 หรือ B20 หรือไม่จากคู่มือรถหรือศูนย์บริการ เพราะการเติมผิดชนิดอาจทำให้ระบบเชื้อเพลิงสึกหรอหรือเกิดการอุดตันได้

จะรู้ได้อย่างไรว่ารถของเราใช้น้ำมันประเภทใด?
น้ำมันที่คุณเลือกใช้มีผลโดยตรงต่อสมรรถนะของเครื่องยนต์และอายุการใช้งาน รู้วิธีตรวจสอบให้ชัดก่อนเติมเพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายโดยไม่ตั้งใจ
รถยนต์แต่ละรุ่นได้รับการออกแบบมาให้รองรับการเติมน้ำมันประเภทเฉพาะ ซึ่งหากเติมผิดประเภทอาจก่อให้เกิดปัญหาต่อระบบเชื้อเพลิง เช่น หัวฉีดตัน หรือเครื่องยนต์น็อก วิธีที่ง่ายที่สุดในการตรวจสอบคือดูที่คู่มือการใช้งานรถยนต์ ซึ่งจะระบุประเภทน้ำมันที่แนะนำไว้ชัดเจน หรือดูจากสติกเกอร์ที่ฝาถังน้ำมัน
หากรถคุณสามารถใช้น้ำมันได้หลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น E10 หรือ E20 การเลือกควรขึ้นอยู่กับการขับขี่จริงในชีวิตประจำวัน เช่น คุณขับระยะใกล้บ่อย หรือเดินทางไกลเป็นประจำ นอกจากนี้ ควรพิจารณาสภาพแวดล้อมที่ส่งผลต่อระบบเชื้อเพลิงด้วย น้ำมันบางชนิดราคาถูกกว่า แต่คุณอาจต้องเติมบ่อยขึ้น ขณะที่บางชนิดแม้ราคาจะสูงกว่า แต่ก็ช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้ดี และลดการสะสมของคราบสกปรกได้ในระยะยาว การตัดสินใจเลือกน้ำมันจึงควรพิจารณาจากภาพรวมทั้งหมด ไม่ใช่แค่ราคาที่เห็นหน้าปั๊มเท่านั้น
เลือกน้ำมันให้เหมาะกับการใช้งาน
การขับขี่แต่ละแบบต้องการเติมน้ำมันที่ต่างกัน ทั้งรถใช้งานในเมือง ทางไกล หรือใช้งานหนัก เลือกให้ตรงความต้องการ ช่วยให้รถทำงานเต็มประสิทธิภาพและคุ้มค่าในระยะยาว
สำหรับผู้ขับขี่ในเมืองหรือที่มีการจราจรติดขัดบ่อยๆ การเลือกใช้ น้ำมัน อย่าง E10 หรือเบนซิน 91 ถือว่าเหมาะสม เพราะการขับขี่ลักษณะนี้ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังเครื่องยนต์สูงมากนัก แต่หากคุณต้องเดินทางไกลบ่อยๆ หรือใช้ความเร็วคงที่บนทางหลวง การเลือกใช้ E20 หรือเบนซิน 95 อาจให้ประสิทธิภาพที่ดีกว่า ช่วยให้เครื่องยนต์ตอบสนองได้เต็มที่และลดภาระการทำงานหนักของระบบจุดระเบิด
ส่วนรถยนต์อเนกประสงค์ประเภท SUV หรือรถกระบะที่ใช้งานบรรทุกหนักและต้องเผชิญเส้นทางสมบุกสมบัน ควรพิจารณาน้ำมันดีเซล โดยเฉพาะ B7 หรือ B10 น้ำมันกลุ่มนี้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับเครื่องยนต์ที่ต้องทำงานหนักอย่างต่อเนื่อง ให้กำลังที่เหมาะสม และยังช่วยให้การหล่อลื่นดีขึ้น ลดการสึกหรอของเครื่องยนต์ได้ ผู้ใช้ควรศึกษาคู่มือรถเพื่อเลือกใช้ไบโอดีเซลในสัดส่วนที่เครื่องยนต์รองรับ เพื่อให้มั่นใจถึงประสิทธิภาพสูงสุดทั้งด้านพลังงานและการดูแลรักษาในระยะยาว
สรุป
การเลือกใช้น้ำมันให้ตรงกับรถไม่เพียงช่วยรักษาสมรรถนะและประหยัดค่าใช้จ่าย แต่ยังช่วยยืดอายุการใช้งานเครื่องยนต์อีกด้วย ดังนั้นเจ้าของรถจึงต้องพิจารณาความเหมาะสมประเภทและราคาน้ำมันอย่างเหมาะสม ควบคู่กันนั้น การมีประกันภัยรถยนต์ที่เหมาะสมก็ช่วยเพิ่มความมั่นใจ หากเกิดเหตุไม่คาดคิดจากระบบเชื้อเพลิงหรือเครื่องยนต์ คุณจะได้รับความคุ้มครองที่ช่วยลดภาระได้ทันที