หัวใจสลาย เสียใจหนัก อกหักก็ตายได้!
คนเราตายได้เพราะหัวใจสลายจริงนะ ๆ และโรคนี้มีชื่ออันแสนเศร้าว่า Broken Heart Syndrome โดย “โรคหัวใจสลาย” นี้ ทางแพทย์แจ้งว่า เป็นภาวะหัวใจหยุดทำงานเฉียบพลัน เชื่อว่าเกิดจากความเศร้าเสียใจ ความเครียด หรืออาการช็อกจากความสูญเสียจนกระทบให้หัวใจหยุดทำงาน
อาการเป็นอย่างไร?
ข้อสังเกตคือ ผู้ป่วยจะเกิดภาวะเจ็บหน้าอกกะทันหันร่วมกับเริ่มหายใจลำบาก คล้ายอาการของหัวใจขาดเลือดรุนแรง สามารถมีอาการหลายนาที หรือ นานเป็นชั่วโมง ระหว่างมีอาการเหล่านี้ผู้ป่วยอาจมีอาการหน้ามืด ความดันเลือดต่ำ หัวใจเต้นผิดจังหวะ และหัวใจวายร่วมด้วยได้
แล้วใครบ้างละ ที่เสี่ยงหัวใจสลาย?
สิ่งที่น่าตกใจคือ โรคนี้สามารถเกิดได้กับทุกคน โดยผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องมีประวัติโรคหัวใจมาก่อน แต่หากคุณเป็นผู้หญิงที่อายุน้อยว่า 55 ปี จะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจสลายมากกว่าผู้ชายวัยเดียวกันถึง 9.5 เท่า ส่วนถ้าคุณเป็นผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 55 ปี จะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจสลายมากกว่าผู้ชายในวัยเดียวกัน 3 เท่า
เพราะหัวใจผู้หญิงเปราะบางกว่าเหรอ?
จริงๆ แล้วเป็นเรื่องของระดับฮอร์โมน เนื่องจากในร่างกายผู้ชายมีฮอร์โมนเอสโตรเจน และตัวรับอะดรีนาลินมากกว่าผู้หญิง ผู้ชายจึงสามารถรับแรงกดดันและภาวะเครียดได้ดีกว่า อีกทั้งส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจทนต่อฮอร์โมนความเครียดได้ดีกว่าด้วย
ใครเป็นคนค้นพบโรคนี้?
โรคหัวใจสลายถูกบันทึกครั้งแรกในปี พ.ศ. 2542 โดยทีมนักวิจัยในประเทศญี่ปุ่นพบว่า ผู้หญิงวัยทองเป็นประชากรกลุ่มที่มีอาการ “หัวใจสลาย” มากกว่ากลุ่มอื่นคือ มีความผิดปกติของห้องหัวใจล่างซ้ายที่มีลักษณะโป่งพองดูคล้ายไหดักจับปลาหมึกของญี่ปุ่นที่เรียกว่า Takotsubo ดังนั้นโรค Broken Heart Sydrome จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า Takotsubo cardiomyopathy โดยทีมวิจัยพบว่า ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของหัวใจประเภทนี้ ร้อยละ 90 เป็นหญิงอายุระหว่าง 58-75 ปี
การป้องกันโรคหัวใจสลาย
ปัจจุบันยังไม่ทราบกลไกที่ทำให้การเกิดความผิดปกตินี้อย่างแน่ชัด แต่ผู้เชี่ยวชาญสันนิฐานว่า ระดับฮอร์โมนที่หลั่งในขณะที่เครียด เช่น อะดรีนาลินที่เพิ่มขึ้นเฉียบพลัน อาจส่งผลให้เกิดความผิดปกติที่กล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้หัวใจห้องล่างซ้ายโป่งพองขึ้นจนทำงานผิดปกติ ดังนั้นการป้องกันโรคหัวใจสลายได้ดีที่สุดคือ ทำจิตใจให้เข้มแข็ง ปล่อยวางเรื่องที่ตอกย้ำความผิดหวังหรือเสียใจ หากสังเกตว่าตัวเองเริ่มมีอาการเจ็บหน้าอก หายใจไม่ออก ควรรีบเข้าไปปรึกษาแพทย์เพื่อเช็คหัวใจกันต่อไป
