สิ่งที่ควรตรวจเช็กสภาพรถ ก่อนเดินทางไกล
“อย่าให้รถเสีย มาทำลายวันหยุดที่แสนสุขของคุณ” เพื่อการเดินทางที่ราบรื่น ไม่มีปัญหาให้ปวดหัวระหว่างการเดินทาง นอกจากความพร้อมของคนขับแล้ว ควรตรวจสอบสภาพรถและอุปกรณ์ต่างๆ ให้พร้อมใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เพื่อความปลอดภัยของคุณและเพื่อนร่วมทาง
1. เบรก และ น้ำมันเบรก
- เช็กว่ามีเสียงเอี๊ยดอ๊าดผิดปกติหรือไม่
- เวลาเหยียบเบรกแล้วรถหยุดสนิทหรือไม่
- เช็กการรั่วซึมของน้ำมันเบรก ซึ่งบางครั้งการรั่วของน้ำมันเบรกอาจมองไม่เห็น ต้องคอยสังเกตน้ำมันเบรกว่าลดเยอะผิดปกติหรือไม่
- ไม่ควรเติมน้ำมันเบรกเอง เพราะการที่น้ำมันเบรกลดลงผิดปกติ นอกจากการรั่วซึมแล้ว อาจหมายถึงผ้าเบรกบางลง เมื่อน้ำมันเบรกอยู่ระดับต่ำมากจะมีไฟเตือนที่หน้าปัด เป็นการเตือนให้รู้ว่าผ้าเบรกก็ใกล้จะหมด ควรเปลี่ยนผ้าและน้ำมันเบรกพร้อมกัน
- หากมีอาการผิดปกติให้จำอาการที่เกิดขึ้นให้นำรถเข้าศูนย์บริการ บอกอาการกับช่าง เนื่องจากระบบเบรกมีความซับซ้อนควรให้ช่างผู้เชี่ยวชาญเช็กให้จะดีกว่า
2. แบตเตอรี่
- ถ้าเป็นแบตเตอรี่ชนิดเติมน้ำกลั่น ควรเช็กระดับน้ำกลั่นให้อยู่ในระดับที่กำหนด
- ตรวจสอบความแน่นของขั้วแบต และฉนวนหุ้มสาย เช็กว่ามีสนิมมาเกาะหรือไม่
- หากรถสตาร์ทติดยาก อาจมาจากแบตเตอรี่เสื่อม ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่ หรือถ้าฉุกเฉินจริงๆ สามารถจัมป์แบตเตอรี่ใช้งานชั่วคราวได้ เมื่อรถสตาร์ทติด ควรขับสักระยะหนึ่ง อย่าเพิ่งดับเครื่อง เพื่อให้ไดชาร์จของรถจะได้ชาร์ทกำลังไฟเข้าไปในแบตเตอรี่ได้เต็มที่
3. หม้อน้ำ และ น้ำยาหล่อเย็น
- ตรวจเช็กระดับน้ำหล่อเย็น ควรเช็กขณะที่เครื่องเย็น ห้ามเปิดฝาหม้อน้ำตอนเครื่องร้อนเด็ดขาด
- สังเกตปริมาณระดับน้ำในหม้อน้ำ หากปริมาณน้ำลดลงไป ให้เติมน้ำยาหล่อเย็นให้เต็ม
- สังเกตสีของน้ำยาหล่อเย็น หากสีเปลี่ยนไปจากเดิม เช่น น้ำเริ่มเป็นสีสนิม ควรเข้าศูนย์บริการเพื่อเปลี่ยนถ่ายน้ำยาหล่อเย็น
- เช็กน้ำในหม้อพัก สังเกตสัญลักษณ์บอกระดับน้ำ คือ Min และ Max หากน้ำอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า Min (ขีดล่าง) คือน้ำน้อยเกินไป ให้เติมน้ำยาหล่อเย็นจนให้ถึงสัญลักษณ์ Max (ขีดบน) แต่อย่าเกินสัญลักษณ์ Max
4. น้ำมันเครื่อง
วิธีเช็กสภาพน้ำมันเครื่อง สามารถทำได้ด้วยตัวเอง ดังนี้
- จอดรถในแนวราบ สตาร์ทรถทิ้งไว้ เพื่อวอร์มเครื่องให้มีความร้อนเหมือนตอนวิ่งปกติ
- เมื่อมาตรวัดความร้อนขึ้นแล้วให้ดับเครื่อง รอประมาณ 2-3 นาที เพื่อให้น้ำมันเครื่องที่อยู่ในเครื่องยนต์ไหลกลับลงอ่าง
- ดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องขึ้นมา แล้วใช้กระดาษทิชชู่เช็ดน้ำมันเครื่องที่ส่วนปลายก้านออก เสียบก้านวัดน้ำมันเครื่องกลับลงไปตรงๆ จนสุด แล้วดึงขึ้นมาเพื่ออ่านค่าระดับน้ำมันที่วัดได้ หากอยู่ในระดับ Mid ก็เติมน้ำมันเครื่องให้อยู่ระหว่าง Max กับ Mid
- ถ้าน้ำมันเครื่องเปลี่ยนสีเป็นสีดำ ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องก่อนการจะเดินทาง
5. ยาง และ ล้อ
- ยางที่ดีต้องอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งาน ไม่รั่ว ไม่ซึม ไม่แตกลายงา และมีดอกยางเพียงพอ
- เช็กให้แน่ใจว่าไม่มีหัวน็อต ตะปู ก้อนหินเสียบคาอยู่ที่ยาง
- เติมลมยางตามที่คู่มือกำหนด ไม่อ่อนหรือแข็งเกินไป
- ล้อควรอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ไม่คด ไม่เบี้ยว
- เช็กความแน่นของน็อตล้อทุกตัว
6. ระบบไฟส่องสว่าง
- ไฟทุกดวงต้องเปิดติดใช้งานได้อย่างสมบูรณ์ ทั้งไฟหน้า, ไฟเบรก, ไฟเลี้ยว, ไฟถอย, ไฟตัดหมอก และไฟท้ายขณะเปิดไฟหน้า
- แสงสว่างของไฟต้องมีความคมชัด ไม่มัว และแสงต้องไม่รบกวนผู้ใช้ถนนคนอื่น
7. เข็มขัดนิรภัย
- เช็กหัวเข็มขัดนิรภัยว่าล็อคแน่นดีหรือไม่
- เช็กว่าปลดล็อคและมีการดึงกลับได้ปกติหรือไม่
- ความกระชับของสายเข็มขัดนิรภัย ต้องรัดกระชับพอดี ไม่หย่อนเกินไป
- ควรเช็กเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่ง ทั้งด้านคนขับและผู้โดยสารหน้า-หลัง
8. กล้องติดรถยนต์
- เช็กว่ากล้องสามารถเปิดใช้งานได้ปกติหรือไม่
- เช็กหน่วยความจำว่าสามารถบันทึกภาพได้ปกติหรือไม่
- เช็กแบตเตอรี่กล้องให้อยู่ในสภาพพร้อมให้งาน การจอดรถตากแดดนานเป็นสาเหตุนึงที่ทำให้แบตเตอรี่กล้องเสื่อมคุณภาพ หรือระเบิดได้หากไม่ได้มาตรฐาน
9. ชุดเครื่องมือในยามฉุกเฉิน
- ล้อ/ยางอะไหล่
- แม่แรง และชุดเครื่องมือในการถอดล้อ
- ที่เติมลมยางฉุกเฉิน
- สายพ่วงแบตเตอรี่
- สายลากจูงรถ
- ป้ายไฟฉุกเฉินสามเหลี่ยม
การตรวจสอบสภาพรถทั้งหมดบางปัญหาต้องใช้เวลาในการแก้ไข ควรเผื่อเวลาก่อนการเดินทางอย่างน้อย 1 สัปดาห์ และควรตรวจสอบอย่างละเอียด แต่ถ้าไม่มั่นใจให้นำรถเข้าตรวจสภาพที่ศูนย์บริการ ให้ช่างผู้เชี่ยวชาญเช็กจุดต่างๆ ให้ เพื่อความอุ่นใจและปลอดภัยในการเดินทาง